เมด อิน ไชน่า : มูลค่าที่เอสปันญอลและลาลีกาสเปนได้จากนักฟุตบอลอันดับ 1 ของจีน

เมด อิน ไชน่า : มูลค่าที่เอสปันญอลและลาลีกาสเปนได้จากนักฟุตบอลอันดับ 1 ของจีน

เมด อิน ไชน่า : มูลค่าที่เอสปันญอลและลาลีกาสเปนได้จากนักฟุตบอลอันดับ 1 ของจีน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประตู 2-0 สุดสวยเหนือ เรอัล โชเซียดัด จากนักฟุตบอลหมายเลข 1 ของจีน ส่งให้ “เอสปันญอล” สโมสรเล็กๆ ตีตั๋วเข้าไปเล่นเล่นถ้วยยุโรปครั้งแรกรอบ 12 ปี

ลาลีกา สเปน ปิดฉากฤดูกาล 2018-19 เป็นที่เรียบร้อย โดยที่ บาร์เซโลนา ยอดทีมจากแคว้นกาตาลุญญา ครองแชมป์ลีกสมัยที่ 26

อีกฟากหนึ่งของเมือง “เอสปันญอล” สโมสรคู่ปรับของ บาร์ซ่า กำลังเฉลิมฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยง ไม่ใช่เพราะพวกเขาได้แชมป์ หรือร่วมยินดีกับ บาร์เซโลนา  แต่นี่เป็นการฉลองการจบอันดับ 7 ของตาราง คว้าสิทธิ์ไปเล่นรอบคัดเลือก “ยูโรป้า ลีก”

นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำของ เอสปันญอล รวมถึงวงการฟุตบอลจีน ชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ที่สามารถส่งออกนักฟุตบอลความหวังสูงสุดอย่าง อู๋ เหล่ย มาค้าแข้งใน ลาลีกา สเปน ได้สำเร็จ

ที่สำคัญตัวรุกวัย 27 ปี ไม่ใช่แค่เล่นได้ แต่เขายังโชว์ฟอร์มได้ดี การันตีด้วยการถูกเลือกติดทีมยอดเยี่ยม ลาลีกา สัปดาห์ที่ 38 และได้รับการโหวตให้เป็น ผู้เล่นยอดเยี่ยม ประจำสัปดาห์สุดท้าย ของฤดูกาล


photo : South China Morning Post

 “Main Stand” ชวน “อ.เอี่ยม” ศรัณยู ยงพาณิช อาจารย์หนุ่ม ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาการจัดการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล และแอดมินเพจ เล่าเรื่องบอลจีน - Chinese Super League มาร่วมวิเคราะห์ถึงเอฟเฟกต์ มูลค่าที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงสิ่งที่ลีกสูงสุดสเปน และสโมสรอย่าง เอสปันญอล จะได้รับ จากการดึง ดาวเตะชาวจีนเพียงคนเดียวไปเล่นที่นั่น

เหยา หมิง แห่งวงการฟุตบอล

ปลายเดือน มกราคม 2019 เอสปันญอล บรรลุข้อตกลงคว้าตัว อู๋ เหล่ย ปีกซ้ายจาก เซียงไฮ้ เอสไอพีจี หลังเจ้าตัวเสร็จสิ้นภารกิจกับ ทีมชาติจีน ในฟุตบอลเอเชียน คัพ

มีคำถามมากมายเกิดขึ้นกับตัวเขาว่า ซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของวงการบอลจีน ดีพอจะค้าแข้งในลีกชั้นนำของโลกอย่าง ลาลีกา สเปน หรือไม่ ? อาการบาดเจ็บหัวไหล่ จนกระดูกปูดขึ้นมา จะส่งกระทบต่อการปรับตัวในต่างแดนครั้งแรกของเขามากน้อยแค่ไหน

อู๋ เหล่ย ตอบทุกคำถาม แม้ต้องฝืนเจ็บนานกว่า 4 เดือน ด้วยการลงสนามช่วย “เจ้านกแก้ว” ถึง 16 นัด แบ่งเป็น ตัวจริง 12 สำรอง 4 นัด ยิง 3 ประตู จ่าย 2 แอสซิสต์ ก่อนเข้ารับผ่าตัดหัวไหล่หลังสิ้นสุดฤดูกาล 2018-19 เรียกว่า อู๋ เหล่ย ทำสถิติทั้งหมดนี้ ในขณะที่ร่างกายไม่สมบูรณ์

“อู๋ เหล่ย เป็นนักฟุตบอลที่มีความเป็นนักสู้ในตัวเองสูงมาก รวมถึงมี ทัศนคติวิธีคิดเหมือนกับนักฟุตบอลยุโรป  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาได้รับฝึกฟุตบอล และเติบโตมาจาก เกินเป่า ฟุตบอล อคาเดมี (Genbao Football Academy) ที่นี่เป็น อคาเดมีระบบปิด และปลูกฝังความคิดแบบฝรั่งให้กับเด็กทุกคน ก่อนส่งต่อให้ เซียงไฮ เอสไอพีจี”

“โค้ชชาวต่างชาติทุกคนของ เซียงไฮ เอสไอพีจี ที่เคยร่วมงานกับ อู๋ เหล่ย ทั้ง สเวน โกรัน อิริคส์สัน, เอียน วอล์กเกอร์ (โค้ชประตู), อังเดร วิลลาส โบอัส, วิตอร์ แปร์ไรรา ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า อู๋ เหล่ย เป็นผู้เล่นที่มีความเข้าใจในเกมสูง มีความเร็ว และการเคลื่อนที่ หาช่อง ในจังหวะที่ไม่มีบอลอยู่กับตัวดีมาก จนสามารถค้าแข้งในยุโรปได้ แม้แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สมัยคุม โมลด์ ก็เคยเอ่ยปากชม อู๋ เหล่ย แบบนี้”

“ที่ผ่านมา มีหลายๆสโมสรชั้นนำในยุโรป ให้ความสนใจ อู๋ เหล่ย แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกหม้อของ เอสไอพีจี ซึ่งทีมมีเป้าหมายต้องการสัมผัสแชมป์ลีกให้ได้ ทำให้เขายังไม่ย้ายไปไหน แม้แต่ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่มีเจ้าของเป็นคนจีน (เจฟฟ์ ฉี) ที่อยากได้ตัว อู๋ เหล่ย จนฤดูกาลที่ผ่านมา เขาช่วยให้ เอสไอพีจี ได้แชมป์ เขาจึงเริ่มมองหาโอกาส ที่จะย้ายออกไปเล่นในต่างประเทศ”


photo :
Malay Mail

ศรันยู ยงพานิช จากเพจ เล่าเรื่องบอลจีน - Chinese Super League ขยายความถึงเหตุผลที่ อู๋ เหล่ย สามารถปรับตัวเข้ากับลีกอาชีพสเปน ได้ในระยะอันสั้น ทั้งที่เขาไม่เคยย้ายไปเล่นในต่างประเทศมาก่อน นั่นเป็นเพราะเขาเป็นผู้เล่นชั้นนำของทวีปเอเชีย และมีศักยภาพดีพอไปค้าแข้งที่ทวีปยุโรปอยู่แล้ว

เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ผ่าน อาจยังไม่มีจังหวะเวลาที่ใช่สำหรับเจ้าตัว จนเขาต้องปฏิเสธหลายๆข้อเสนอไปก่อนหน้านั้น กระทั่งข้อเสนอ จากเมืองบาร์เซโลนา มาได้ถูกจังหวะ ในช่วงเวลาที่ ลาลีก้า กำลังเซ็นสัญญาบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ ไซนีส ซูเปอร์ลีก เป็นเวลา 4 ปี

“ในหลายๆข้อตกลง MOU มีข้อหนึ่งระบุว่า จะมีความร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนโค้ช และผู้เล่น เหมือนกับที่ จีน เคยทำกับโปรตุเกส อย่างการเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนลีกรองโปรตุเกส และส่งนักเตะจีนไปชุบตัวที่นั่น ซึ่งตอนนี้ จีน เองก็หวังว่าจะส่งนักเตะจีน ไปเล่นในสเปน เพราะหากเทียบกับลีกอย่าง เยอรมัน, อังกฤษ, อิตาลี แล้ว สเปน ดูเป็นลีกที่นักบอลจีน น่าจะปรับตัวได้ง่ายกว่า” ศรัณยู กล่าวเริ่ม

“ต้องไม่ลืมว่า จีน มีความต้องการ ที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ถูกจดจำว่าเป็น ประเทศมหาอำนาจด้านการพัฒนากีฬา ในปี 2050 เหมือนกับที่คนทั่วโลกมอง บราซิล เป็นเจ้าแห่งฟุตบอล และรัฐบาลจีน ก็ค่อนข้างให้การสนับสนุนฟุตบอล แบบออกนอกหน้าพอสมควร มีบรรจุฟุตบอลอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน”


photo : Mailman Group

“ดังนั้น จีน ต้องการส่งผู้เล่นที่สร้างแรงสั่นสะเทือน เหมือนกับเคยที่ส่ง เหยา หมิง (อดีตนักบาสเกตบอล) ไป NBA ดังนั้นหวยจึงตกมาอยู่ที่ อู๋ เหล่ย ซึ่งเป็นเบอร์ 1 ของวงการฟุตบอล และสาเหตุที่การเจรจาลุล่วงไปได้ด้วยดี เป็นเพราะ มิสเตอร์เฉิน  ประธานสโมสรเอสปันญอล ชาวจีน เขาเป็นเพื่อนกับ ประธานสโมสรเอสไอพีจี ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จนจบดีลนี้ได้อย่างราบรื่น

สื่อ,ลูกค้าใหม่ และตลาดใหญ่

“ต้องเข้าใจก่อนว่า กัลโช เซเรีย อา อิตาลี คือลีกที่ได้รับความนิยมมากสุดในจีน เพราะเริ่มเอาไฮไลท์มาฉายตั้งแต่ปี 1988 จากนั้นจึงมีการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดครั้งแรกในจีน เมื่อปี 1994 คนจีน จึงมีความผูกพันกับฟุตบอลอิตาลี ในระดับที่ฝังรากลึก ส่วนลีกที่รองมาก็เป็น บุนเดสลีกา ที่สโมสรต่างๆมีการมาตั้งออฟฟิศที่นี่ รองลงมาคือ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แล้วค่อยเป็น ลาลีก้า สเปน” ศรัณยู กล่าวเริ่ม

“ลาลีกา คงมองเห็น เพราะคนจีนเวลานึกถึงลาลีกา ก็จะคิดถึงแค่ บาร์เซโลนา กับ เรอัล มาดริด แต่ความนิยมมันจะตัน เพราะสองทีมนี้ไม่ได้มีเจ้าของเป็นคนจีน ครั้นจะเอานักบอลไปเล่นสองสโมสรนี้ คงก็เกินเลเวลไปหน่อย”

“หนทางที่ดีสุดของ ลาลีก้า ในการเจาะตลาดที่จีน ก็คงหนีไม่พ้น การดึงเอานักฟุตบอลอันดับ 1 ของจีน ไปเล่นที่ลาลีก้า สเปน คล้ายๆกับตอนที่ เจลีก ยังไม่มีนักเตะไทย กับ ตอนที่ดึง ชนาธิป (สรงกระสินธ์) ไปเล่นที่ซัปโปโร การรับรู้ ความสนใจ ต่างกันเยอะเลย เอาแค่เฉพาะนัดแรกที่ อู๋ เหล่ย ลงสนามพบ บีญาร์เรอัล มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ ระบุว่า มีคนรับชมการถ่ายทอดสดนัดนั้น ใน จีน มากกว่า 40 ล้านคน” ศรัณยู กล่าว


photo : South China Morning Post

มาร์ก้า สื่อชั้นนำของสเปน วิเคราะห์ว่า ตัวเลขยอดผู้ชมในเกมนัดแรกของ อู๋ เหล่ย สามารถสร้างอิมแพคในจีนได้มากกว่านัดที่ ลิโอเนล เมสซี ลงเล่นถึง 14 เท่า

จริงอยู่ที่ ลาลีก้า อาจรุกคืบเป็นพันธมิตรกับ ไซนีส ซูเปอร์ ลีก เพื่อหวังเจาะฐานแฟนคลับหน้าใหม่ ในประเทศที่มีพลเมืองมากกว่า 1,300 ล้านคน แต่ผลที่ตามมาก็คือ ลาลีก้า และสโมสรเอสปันญอล ได้ผู้เล่นชั้นนำของทวีปเอเชีย เกรดใช้งานได้จริงมาร่วมสร้างสีสัน และทำให้ลีกแดนกระทิงดุได้รับความน่าสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อในประเทศจีน

โดย ศรันยู เผยว่า “มีสินค้าไม่กี่อย่างที่ประเทศอย่างสเปนขายได้ดี อย่างหนึ่งเลยคือ ลาลีก้า เขารู้จักขาย มีการนำเสนอสตอรี่นักบอล ขุดคุ้ยประวัติเขาเป็นใครมาจากไหน นอกเหนือจากการเปิดชาแนล ให้ อู๋ เหล่ย ได้มีคลิปสัมภาษณ์ ไลฟ์สดทุกสัปดาห์ ในสเปนแล้ว”

“ ลาลีก้า ยังตามไปขุดหาฟุตเทจสมัยที่เจ้าตัวอายุ 7-8 ขวบ ที่เคยสัมภาษณ์ถึงความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ อู๋ เหล่ย ในตอนเด็กๆ ตอบว่าเขาอยากได้เงินเยอะๆ จากการเล่นฟุตบอล แน่นอนว่าเด็กจีนรุ่นใหม่ พอเห็นสตอรี่แบบนี้ เขาก็ย่อมมองว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลต้องไปสเปน ต้องชมเลยว่า สเปน เขาเก่งมากในเรื่องนี้”


photo :
jqknews

“อีกอย่างหนึ่ง การได้ อู๋ เหล่ย ทำให้ทั้งลาลีก้า และเอสปันญอล สามารถเจาะกลุ่มผู้ใช้งานโชเซียลมีเดียในจีนได้ดีอีกด้วย เพราะที่จีนเขาจะเล่นแอปของตัวเอง อย่าง Weibo (เวยปัว) เอสปันญอล เพิ่งมาเปิดใช้งานแค่ 3 เดือน แต่ยอดผู้ติตดามทะลุ 117,000 ผู้ใช้งาน ส่วน Weibo ของ อู๋ เหล่ย มีคนติดตามมากกว่า 2 ล้านผู้ใช้งาน คิดง่ายๆเอายอดผู้ใช้งานของ 2 บัญชีมารวมกัน เท่ากับว่ามีคนจีนติตตาม อู๋ เหล่ย และสโมสรต้นสังกัด ในช่องทางออนไลน์มากกว่า 2.2 ล้านผู้ใช้งาน นี่เป็นตัวเลขที่เยอะมากนะ เยอะกว่า มาดริด บาร์ซ่าเสียอีก”

กระแสของ อู๋ เหล่ย ในสเปน ไปไกลมากกว่าแค่โชเซียลมีเดียในจีน เพราะแม้แต่ ทวิตเตอร์ ที่จีนไม่อนุญาตให้ใช้งานในประเทศ ก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย

โดยยอดผู้ติดตาม ทวิตเตอร์สโมสรเอสปันญอล ก่อนที่ อู๋ เหล่ย ย้ายมาตัวเลขอยู่ที่ราวๆ 150,000 ผู้ติดตาม ผ่านไปแค่ 4 เดือน มีคนมา Followers ทวิตเตอร์บัญชี ทีมเอสปันญอล มากกว่า 413,000 ผู้ใช้งาน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มูลค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ลาลีก้า สเปน ในการประมูลครั้งต่อไป จะมีราคาพุ่งสูงขึ้นไปแค่ไหน ซึ่งตามข้อมูลที่ ศรันยู ยงพานิช ศึกษามา เขาบอกกับเราว่า การส่งผู้เล่นจีน ไปเล่นอาชีพที่สเปน จะไม่หยุดแค่ที่ อู๋ เหล่ย คนเดียว กำลังมีรายที่ 2-3-4 ตามมาในเร็วๆนี้

การลงทุน และจุดหมายใหม่ของทัวร์จีน

เอฟเฟกต์ของ อู๋ เหล่ย ยังส่งผลไปถึงมิติการลงทุน ยกตัวอย่างเสื้อแข่ง เอสปันญอล ใช้แบรนด์ เคลเม่ (Kelme) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เข้าไปทำการตลาดในจีน มีโรงงานฐานการผลิตอยู่ที่เมืองฟูเจียน ถือครองส่วนแบ่งการตลาดเสื้อผ้ากีฬาในจีน มากพอสมควร โดยเน้นตีตลาดไปตามโรงเรียน สถานศึกษา ในการผลิตเสื้อพละ

การได้ อู๋ เหล่ย ไปจอยกับสโมสร ทำให้แบรนด์ เคลเม ได้รับความนิยมและภาพลักษณ์ที่ดีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย  ในขณะเดียวกัน ชุดแข่งสกรีนชื่อและเบอร์ 24 ของ อู๋ เหล่ย ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทขาย จนสินค้าหมดภายในแค่วันเดียว หรือขายหมดใน 2 ชั่วโมง แบบลิมิเดต (ปักชื่อเป็นภาษาจีน) ไม่เพียงพอกับความต้องการของชาวจีน

“ดีลนี้ผมมองว่า ลาลีก้า และ เอสปันญอล มีแต่ได้กับได้ ผมยังมองไม่เห็นมิติไหนที่เป็นผลเสียเลย อย่าง เอสปันญอล ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมใหญ่ ครั้นจะหาผู้สนับสนุนที่พร้อมจ่ายเงินแพงๆ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ เหมือนกับ บาร์เซโลนา คงเป็นไปไม่ได้ มิสเตอร์เฉิน เจ้าของทีม ก็ไม่ใช่มหาเศรษฐกิจระดับบิ๊กเนมของจีน แต่พอเกิดขึ้นดีล อู๋ เหล่ย ทีมระดับกลางอย่าง เอสปันญอล ก็พอลืมตาอ้าปากได้”

“เพราะคนจีน มีแนวคิดแบบชาตินิยม ถ้าสโมสรไหนในต่างประเทศ มีคนจีนเล่นอยู่ คนจีนพร้อมที่จะสนับสนุนอยู่แล้ว จากข้อมูลที่ผมค้นคว้ามา ตอนนี้มีสปอนเซอร์จากจีน ติดต่อเข้าไปสนับสนุนทีมเอสปันญอล เยอะมาก จนสโมสรรันคิวไม่ทัน และอาจมีการคัดเลือกสปอนเซอร์ที่มีความเหมาะสม และเหมาะกับภาพลักษณ์ทีม”

“แม้แต่รัฐบาลจีน จากที่เคยมีการชะลอ เรื่องการปล่อยกู้ให้นำไปลงทุนในต่างประเทศ ก็มีแนวโน้มว่า อาจอนุญาตปล่อยกู้ให้ มิสเตอร์เฉิน นำเงินไปปรับปรุงสนามให้ผ่านมาตรฐาน เพื่อที่จะสามารถเล่นถ้วย ยูโรป้า ลีก” ศรันยู ยงพานิช จากเพจเล่าเรื่องบอลจีน เผย

มูลค่าเม็ดเงินหยวนจำนวนมหาศาล กำลังหลั่งไหล่เข้าสู่แผ่นดินสเปน ทั้งในแง่ของการลงทุน รวมถึงในแง่การท่องเที่ยว

คนจีน ตื่นตัวและอยากเดินไปเที่ยวสเปน เพิ่มขึ้น โดยมี เมืองบาร์เซโลนา เป็นหมุดหมายสำคัญแห่งใหม่ที่ คณะทัวร์สัญชาติจีน ต้องการเดินทางไปเพื่อให้กำลังใจอู๋ เหล่ย ติดขอบสนาม

“เดิมที บาร์เซโลนา ไม่ใ่ช่เมืองที่คนจีนไปเที่ยวเยอะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ อู๋ เหล่ย ย้ายไป มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปที่นี่ เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว มีนักสถิติไปเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์คนจีนที่เดินทางมา ส่วนใหญ่เดินทางมาสเปนเป็นครั้งแรก และตอนนี้ เอสปันญอล เป็นจุดหมายหนึ่งที่ นักท่องเที่ยวต้องแวะมาให้ได้”


photo :
China Daily

ทั้งหมดคืออิมแพคที่เกิดขึ้น จากการย้ายทีมของนักเตะชาวเอเชีย คนหนึ่ง ในดินแดนลูกหนังที่เล่นฟุตบอลกันได้สวยงามมากสุดแห่งหนึ่งในโลก

นี่คงเป็นเรื่องราวที่ฉายภาพให้เราเห็นแล้วว่า ฟุตบอลในบางครั้ง มันเป็นเรื่องที่กว้างไกลแค่เรื่องผลการแข่งขัน ตัวเลขค่าตัวในการย้าย… แต่ยังสัมพันธ์ไปถึงสังคมวงกว้าง ในแบบที่ว่า เรื่องเหล่านี้ในสังคม จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย ถ้าไม่มีการย้ายทีมของผู้ชายที่ชื่อ อู๋ เหล่ย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook