"อันโคน่า" : ทีมฟุตบอลหนุนหลังโดยวาติกันและใช้คำสอนศาสนาลงแข่ง

"อันโคน่า" : ทีมฟุตบอลหนุนหลังโดยวาติกันและใช้คำสอนศาสนาลงแข่ง

"อันโคน่า" : ทีมฟุตบอลหนุนหลังโดยวาติกันและใช้คำสอนศาสนาลงแข่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สโมสรที่เป็นตัวแทนของเมืองประสบปัญหามากมายทั้งฟอร์มในสนามและพฤติกรรมของนักเตะ ไปจนถึงประธานสโมสรที่ต้องเข้าๆ ออกๆ คุกจากการทำผิดกฎหมายไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเมืองนั้นแน่

เมื่อปล่อยไว้เห็นทีจะไม่ได้เรื่องและมีแต่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เหล่าผู้ศรัทธาจึงต้องรวมพลังกันเพื่อต่อต้านความชั่วร้ายในโลกฟุตบอล พวกเขาลงขันซื้อทีม อันโคน่า และเปลี่ยนแปลงทีมด้วยการใช้คำสอนของศาสนา

 

แม้หลายคนจะบอกว่าทางธรรมนั้นเป็นเส้นขนานจากทางโลก ทว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วที่ อันโคน่า ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่

อันโคน่า เมืองเหม็นโฉ่

อันโคน่า คือสโมสรฟุตบอลในประเทศอิตาลีที่มีอายุยาวนานเพราะก่อตั้งกันมาตั้งแต่ปี 1905 โดยช่วงเวลาส่วนใหญ่ของ อันโคน่า นั้นไม่ได้เป็นที่จดจำของแฟนฟุตบอลทั่วโลกเท่าไรนัก เพราะไม่เคยได้แชมป์ระดับเมเจอร์เลยแม้แต่รายการเดียวแถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่ในลีกระดับล่างของประเทศอีกด้วย 

 1

ช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับความสำเร็จมากที่สุดคือในช่วงเข้าสู่ยุค ‘90 เป็นต้นมา จากการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ เอร์มานโน่ ปิเอโรนี่ ชายผู้เคยทำงานกับ เปรูจา และสร้างชื่อกับทีมชุดนั้นด้วยการดึงผู้เล่น อย่าง ฮิเดโตชิ นากาตะ ซูเปอร์สตาร์ชาวญี่ปุ่นเข้าสู่ทีม โดยเขาใช้เวลาไม่นานก็พาอันโคน่าขึ้นไปสู่ลีกสูงสุดได้ในปี 2003 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่พวกเขาได้เล่นในเซเรีย อา 

ช่วงเวลาดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่าที่แฟนๆ ของ อันโคน่า จะฝันถึง อย่างไรก็ตามฤดูกาล 2003/04 ซึ่งถือเป็นฤดูกาลที่ 2 ในลีกสูงสุดของพวกเขาเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะฟอร์มการเล่นของทีมตกต่ำมาก ทำสถิติไม่ชนะใคร 28 เกมติดต่อกัน และในช่วงที่ยากลำบากนั้นพวกเขาก็ต้องเสียศูนย์อีกเพราะการซื้อขายที่ผิดพลาดเน้นซื้อผู้เล่นที่มีอายุมากและค่าเหนื่อยแพงแต่ผลงานไม่ตอบโจทย์ สุดท้ายสโมสรก็ตกชั้น, ติดหนี้ และโดนโทษปรับให้ตกชั้นในระดับ เซเรีย ซี 2 (เซเรีย ดี ในปัจจุบัน) หรือระดับดิวิชั่น 4 ของประเทศเลยทีเดียว

 2

การตกชั้นครั้งนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทีม อันโคน่า ไร้หางเสือเล่นกันแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย เนื่องจากผลประกอบการที่ขาดทุนไปถึง 37 ล้านยูโร นอกจากสถานะของทีมยังมีปัญหาแล้ว ในปี 2004 ตัวของ ปิเอโรนี่ เองก็โซซัดโซเซไม่แพ้กัน เขาถูกศาลสั่งฟ้องฐานฉ้อโกงและเลี่ยงภาษี โดย ปิเอโรนี่ นั้นโกงบัญชีจากกองทุนสังคมซึ่งเงินที่โกงไปมีมูลค่า 12 ล้านยูโร จากความผิดครั้งดังกล่าวถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาถึง 4 ปี ... เรียกได้ว่า อันโคน่า ในตอนนี้มีแค่รอวันล่มสลายเท่านั้นเอง 

"90% ของสโมสรนี้อยู่ในเส้นสีแดงไปแล้ว มันมีมากมายหลายเรื่องเหลือเกิน อย่างน้อยๆ ประธานสโมสรของเราก็เข้าๆ ออกๆ คุกอยู่เรื่อย" เคลาดิโอ อามิกุชชี่ แฟนบอลของ อันโคน่า ให้สัมภาษณ์ถึงทีมรักของเขาแบบเห็นภาพ  

เห็นได้ชัดว่าทีมต้องการใครสักคนเข้ามาซื้อสโมสรและสร้างมันขึ้นมาใหม่ ปลุกศรัทธาจากแฟนบอลอีกครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะเป็นนักธุรกิจใหญ่จากที่ต่างๆ แต่ไม่ใช่กับ อันโคน่า เพราะมีบางองค์กรที่จ้องมองความมืดมนของทีมมาอย่างยาวนาน พวกเขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ไม่ใช่แค่เรื่องผลงานในสนามหรือเรื่องเงินเท่านั้น แต่มันจะต้องดีขึ้นในทุกๆ ด้าน นั่นรวมถึงด้านจริยธรรมด้วย

ล้างไพ่ด้วยศาสนา 

และเมื่อทีมฟุตบอลที่เหมือนเป็นตัวแทนของเมืองส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ มันทำให้มีองค์กรหนึ่งยอมไม่ได้ พวกเขาจะไม่ปล่อยมันไว้แบบนี้และสร้างผลลัพธ์ที่เลวร้ายลงทุกวันๆ แน่นอน เมื่อถึงเวลาอันสมควร เอโดอาร์โด้ เมนิเชลี่ หัวหน้าอาร์คบิชอปแห่ง อันโคน่า ก็ออกโรงทันที 

 3

ไม่ใช่แค่เรื่องของทีม อันโคน่า ทีมเดียวที่น่าเป็นห่วงเพราะทางคริสตจักรมองว่าฟุตบอลอิตาลีกำลังป่วย มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นพร้อมกันหลายๆ อย่างทั้งคดีกัลโช่โปลี ที่มีหลายสโมสรโดนเล่นงานในช่วงปี 2006 แม้แต่ทีมใหญ่อย่าง ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน ก็ยังมีเอี่ยว นอกจากนี้ยังมีความรุนแรงนอกสนามจากเหล่าฮูลิแกน เพราะในปีเดียวกันนั้นเองมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตกับการปะทะกับแฟนบอลที่สนามกีฬา ซิซิเลีย อีกด้วย เรื่องทั้งหมดทำให้ คริสตจักร จึงคิดริเริ่มเปลี่ยนแปลงของวงการฟุตบอลโดยเริ่มจากทีมใกล้ตัวอย่าง อันโคน่า 

แต่เดิมนั้นคริสตจักรคาทอลิกมีความสัมพันธ์กับเรื่องของฟุตบอลในชุมชนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะคริสตจักรที่ อันโคน่า ซึ่งขึ้นตรงกับนครวาติกันด้วยแล้ว พวกเขาจึงให้ความสำคัญมากกับเรื่องเยาวชนและสังคม โดยจะมีสโมสรฟุตบอลเพื่อให้เยาวชนได้มีโอกาสลงสนาม นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายมายในระดับสโมสรเล็กๆ สโมสรหนึ่งเลยทีเดียว

 4

"เราอยากจะนำจรรยาบรรณที่ดีกลับสู่เกมฟุตบอลอีกครั้ง ตอนนี้ฟุตบอลมันรุนแรงร้ายกาจเกินกว่าคำว่ากีฬาไปแล้ว" เมนิเชลี่ หัวหน้า อาร์คบิชอปแห่งเมือง อันโคน่า เปิดเผยถึงโปรเจ็คท์นี้กับสื่อดังอังกฤษอย่าง The Telegraph

เรื่องดังกล่าวได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากคนภายในของสโมสรอันโคน่า พวกเขารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคต แต่ที่แน่ๆ มันจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน 

"จากเรื่องราวอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในวงการลูกหนังอิตาลีอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เราเห็นว่า อันที่จริงแฟนๆ น่ะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนะ แต่พวกเขาทำเป็นไม่ใส่ใจ ซึ่งถ้าไม่มีใครกล้าท้าทายกับเรื่องพวกนี้ แน่นอนว่าท้ายที่สุดฟุตบอลอิตาลีจะต้องเล่นกันในสนามเปล่าๆ โดยไร้คนดูแน่นอน" มัสซิโม่ อชินี่ หนึ่งในบอร์ดบริหารของ อันโคน่า กล่าว 

 5

การเจรจาเป็นไปอย่างจริงจังถึงขนาดมีข่าวว่าพระคาร์ดินัล (ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นใหญ่รองจากประสันตะปาปา) ทาร์ซิซิโอ แบร์โตเน่ ต้องทำหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการเทคโอเวอร์สโมสรครังนี้ ตัวของพระคาร์ดินัลนั้นชื่นชอบฟุตบอลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเมื่อมีโครงการนี้ท่านมั่นใจว่าจะสามารถ "นำคุณค่าของมนุษย์และจิตวิญญาณในกีฬาออกมาได้แน่นอน"

แต่พอถึงตรงนี้ หลายๆ คนคงสงสัยว่า "แล้วทางคริสตจักรวาติกันสามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกได้หรือ?" เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า เรื่องราวทางโลกกับทางธรรม ตามหลักแล้วไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกัน และเมื่อเรื่องราวดูจะถูกขยายความไปกันใหญ่ ทางวาติกันจึงต้องเข้ามาชี้แจงให้เข้าใจตรงกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบาทหลวง เฟเดริโก ลอมบาร์ดี้ ที่ดูแลด้านการสื่อสารกับมวลชนของคริสตจักรเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2007 ว่า

"เรื่องดังกล่าวถือเป็นการริเริ่มที่มีจุดมุ่งหมายอันน่ายกย่อง แต่ทางคริสตจักรไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใด"

คำถามแรกได้รับการชี้แจงแถลงไข แต่ก็นำมาซึ่งคำถามสืบเนื่องว่า แล้วกลุ่มผู้น้อมนำคำสอนพระเยซูมาใช้กับวงการฟุตบอลด้วยการซื้อทีมนั้นเป็นใคร? คำตอบที่ดูจะใกล้เคียงที่สุดคือ กลุ่มนักธุรกิจผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ไม่ประสงค์จะออกนาม โดยได้รับการสนับสนุนจาก CSI (Centro Sportivo Italiano) องค์กรกีฬาภาครัฐประจำเมือง ซึ่ง เอดิโอ คอนสแตนตินี่ ประธาน CSI ของเมืองอันโคน่าซึ่งมีส่วนในการสนับสนุนเปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าว่า

"มันเป็นวิธีที่จะทำให้ฟุตบอลกลับมามีจริยธรรมอีกครั้ง เราพร้อมจะเผชิญกับค่านิยม การลงทุนของเราครั้งนี้มีความหมายที่แท้จริงซ่อนอยู่ เราหาความหมายที่แท้จริงของกีฬา เราจะต้องการให้ฟุตบอลเป็นหนึ่งในเครื่องมือของการศึกษา โดยไม่ผูกติดกับเรื่องธุรกิจการเงินที่เคร่งครัด" 

เมื่อมีคนถามว่า พวกเขาโลกสวยไปหรือเปล่าที่คิดอะไรแบบนั้นในโลกยุคปัจจุบัน? เขาตอบกลับอย่างชัดเจนและมั่นใจว่า "เราจะแสดงให้เด็กๆ เห็นว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตา และเราจะไม่ทำตัวอย่างที่เลวร้ายให้พวกเขาเห็นแน่นอน เชื่อได้เลย"

แต่ถึงแม้ทางวาติกันจะประกาศอย่างชัดแจ้งว่า พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่คริสตจักรก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนอย่างดี ด้วยการอนุญาตให้สมาชิกของทีมอันโคน่าเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตปาปา เบเนดิกท์ที่ 16 หลังจากที่การซื้อขายทีมลุ่ล่วง ซึ่งประมุขนิกายโรมันคาทอลิกก็ได้ตรัสว่า

"ฟุตบอล ควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยสอนให้ผู้คนได้รู้ถึงคุณธรรมและจิตวิญญาณของชีวิต"

อันโคน่า ยุคเปลี่ยนแปลง

ก่อนหน้านี้ อันโคน่า มักจะซื้อนักเตะตามใบสั่งเอเย่นต์ นักเตะอายุมากและค่าเหนื่อยแพง และไม่ค่อยสนผลงานทีมเท่าไรนักเพราะพวกเขาอยู่ในช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง ตอนนี้นโยบายการสร้างทีมเปลี่ยนไป พวกเขาอยากจะได้นักกีฬาที่เป็นนักกีฬาจริงๆ โดยเห็นเหตุผลของเงินเป็นเรื่องรองที่สวนทางกับโลกปัจจุบันอย่างชัดเจน

 6

อันโคน่า ชุดฤดูกาล 2007-08 เปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ต่างไปแบบสุดขั้วทุกๆ ด้านหลังจากที่หุ้นของสโมสร 80% เป็นของกลุ่มทุนคาทอลิกหน้าใหม่ และอีก 20% เป็นของประธานสโมสรคนก่อนหน้าอย่าง แซร์จิโอ เชียโวนี่ ที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย เริ่มจากนักเตะที่เคยเป็นประเภทแบดบอยก็ต้องเล่นแบบตามกติกาไม่คิดร้ายกับคู่แข่ง ทีมจะหันกลับมาใช้ผู้เล่นดาวรุ่งที่พร้อมจะลงสนามแม้ว่าค่าตอบแทนจะไม่สูงมากมายนักหากเทียบกับทีมอื่นๆ

ขณะที่แฟนบอลที่เคยเชียร์แบบดุเดือดก็จะถูกห้ามปรามไม่ให้เย้ยหยันคู่ต่อสู้ไม่ว่าจะทางคำพูดหรือป้ายแบนเนอร์ข้อความข้างสนามซึ่งช่วงเวลานั้นฟุตบอลอิตาลีนั้นมีการเหยียดผิวบ่อยๆ อีกด้วย นอกจากนี้ อันโคน่า ยังประกาศลดค่าตั๋วเกมเหย้าเพื่อให้ผู้ปกครองสามารถพาเด็กๆ เข้ามาดูฟุตบอลในสนามได้ แม้ว่ากำไรจะน้อยลงแต่ อันโคน่า เอากำไรจากค่าเข้าชมทั้งหมดไปบริจาคเพื่อโครงการพัฒนาประเทศโลกที่ 3 อีกด้วย

แม้จะดูแปลกไม่คุ้นเคย แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการทำเช่นนี้ทำให้บรรยากาศภายในทีมดีขึ้นมาก ผู้เล่นทุกคนมีความตั้งใจมากขึ้น และรู้สึกแฮปปี้กับแนวทางใหม่ของสโมสร

"ทีมเล่นดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ ผมหวังว่าเราจะรักษาผลงานแบบนี้ต่อไปได้" อันเดรีย สตาฟโฟนาลี่ กองหน้าวัย 24 ปีของทีมกล่าว

"มีหลายอย่างเปลี่ยนไป ตัวอย่างง่ายๆ เลยถ้าคุณโดนใบแดงคุณต้องออกไปทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคม เราพูดคุยกันรู้เรื่องมากทุกครั้งที่อยู่ในห้องแต่งตัวและเราพร้อมมากๆ ที่จะทำตามนโยบายของทีม"

 7

อันโคน่า สามารถขยับเลื่อนชั้นสู่ เซเรีย บี ได้ในทันทีแบบไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่ฤดูกาลก่อนหน้านี้พวกเขาได้อันดับที่ 16 ของตารางจากจำนวนทีม 18 ทีม และยังสามารถเอาตัวรอดได้ในฤดูกาล 2008/09 ได้อย่างเหลือเชื่อหลังชนะเกมเพลย์ออฟหนีตกชั้น

ฤดูกาล 2009/10 อันโคน่าต้องเจอกับบททดสอบสำคัญ เมื่อปัญหาจากยุคประธานสโมสรเก่าทำให้พวกเขาถูกตัด 2 คะแนน แต่สุดท้าย อันโคน่า ก็จบในอันดับที่ 17 และรอดตกชั้นได้ในท้ายที่สุด ... ทว่าทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังจะดีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายปัญหาจากทีมผู้บริหารชุดเก่าที่ทำทีมติดหนี้มากถึง 32 ล้านยูโร ก็มากเกินกว่าที่คริสตจักรจะชำระให้ได้ 

แม้หลายฝ่ายจะช่วยกันมาทางแก้ไขปัญหาแต่สุดท้ายก็ไม่ทันกาลเพราะปัญหาที่สร้างไว้มันนานเกินกว่าจะแก้ไขในชั่วข้ามคืนได้ สุดท้ายเป็นที่น่าเสียดายเพราะ อันโคน่า โดนสั่งฟ้องล้มละลาย และหลังจากนั้นไม่นานก็ต้องยุบทีมไปในท้ายที่สุด 

สิ่งที่ วาติกัน และคริสตจักรมองเห็นนั้นแตกต่างกับฟุตบอลยุคปัจจุบันมากเกินไป เพราะทุกวันนี้ฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬาแต่มันกลายเป็นธุรกิจไปเรียบร้อยแล้ว และการใช้แต่ความดีอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ

อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นเพียงไม่กี่ปีที่ คริสตจักรในฐานะตัวแทนของ วาติกัน ได้เข้ามาจัดการฟุตบอลในแบบที่พวกเขาวางแผนไว้ แต่ผลออกมาก็ใช่ว่าทางโลกกับทางธรรมจะไปกันไม่ได้โดยปริยายไปเลยเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ แม้จะไม่มีความสำเร็จแบบเป็นชิ้นเป็นอัน อันโคน่า ก็กลายเป็นทีมฟุตบอลที่ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งผลงานในสนาม และความสุขที่ได้จากทุกฝ่าย 

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ "อันโคน่า" : ทีมฟุตบอลหนุนหลังโดยวาติกันและใช้คำสอนศาสนาลงแข่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook