จากนั้นที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและกำหนดโปรแกรมการแข่งขันเซปักตะกร้อ ประจำ ปี 2552 ของสมาคมฯ ซึ่งมีรายการหลัก ๆ ดังนี้ 1.ตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครั้งที่ 31 ระหว่าง 8-31 มิ.ย. ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แต่ละสโมสรมีนักกีฬาต่างชาติเข้าร่วมด้วย, 2.ตะกร้อชิงถ้วยพระราชทาน คิงสคัพ ครั้งที่ 24 ระหว่าง 2-7 ก.ค., 3.ตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งที่ 21 ระหว่าง 22-27 ก.ย.นี้ ซึ่งทั้ง 3 รายการ จะจัดที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ และ 4.กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 38 ที่ จ.ตรัง ระหว่าง 9-19 ก.ย.นี้
ส่วนการแข่งขันต่างประเทศนั้น ที่ประชุมจะส่งนักกีฬาระดับเยาวชนชายและหญิง ไปแข่งขันที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง 25-31 พ.ค.นี้ ต่อด้วยเอเชี่ยน อินดอร์เกมส์ ครั้งที่ 3 ที่ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-8 พ.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นการแข่งขันตะกร้อลอดห่วงสากล โดยใช้งบประมาณการเตรียมทีม 4,874,714 บาท ส่วนรายการปิดท้ายปี 2552 คือ ซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ที่ประเทศลาว ระหว่าง 9-18 ธ.ค.นั้น เจ้าภาพ กำหนดชิงชัย 8 เหรียญทอง แต่ให้แต่ละชาติส่งได้ชาติละ 6 รายการ สมาคมฯ จึงมีมติให้ส่งนักกีฬาชายและหญิง เข้าร่วมแข่งขันในประเภท ทีมชุดชาย, ทีมชุดหญิง, ทีมเดี่ยวชาย, ทีมเดี่ยวหญิง ส่วนอีก 2 รายการ อยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกระหว่าง ตะกร้อลอดห่วงสากลชายและหญิง หรือ ตะกร้อคู่ชายและหญิง โดย บิ๊กจา มองว่า ตะกร้อลอดห่วงสากล มีแข่งขันใน อินดอร์เกมส์ อีกทั้ง พม่า ยังเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก จึงอยากให้พิจารณาตะกร้อคู่ ว่าจะมีความหวังมากน้อยเพียงใด โดยซีเกมส์จะใช้งบประมาณเตรียมทีม 12,356,699 บาท และยังมีชัตเติ้ลค็อก ที่จะต้องใช้งบประมาณเตรียมทีมอีก 7,455,930 บาท สรุปทั้ง 3 รายการ สมาคมตะกร้อฯ จะใช้งบประมาณเตรียมทีมทั้งสิ้น 24,687,343 บาท
พล.ต.จารึก กล่าวว่า จาก 6 รายการ ที่ทัพตะกร้อไทยจะเข้าร่วมชิงชัยในซีเกมส์นั้น เราจะต้องพยายามคว้าแชมป์มาให้ได้ทุกรายการ ขณะที่ซีเกมส์ครั้งนี้อาจจะถือเป็นครั้งสุดท้ายของบรรดานักกีฬารุ่นเก๋าของไทยก็ได้เพราะถือว่าที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมามากมาย มีเงินทองและอาชีพที่มั่นคงกันแล้ว จึงน่าจะเปิดโอกาสให้นักกีฬารุ่นน้องได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนบ้าง.