อเล็กซ์ อัลบอน : เด็กไทยที่ใช้เวลา 6 ปีสู่นักขับ F1

อเล็กซ์ อัลบอน : เด็กไทยที่ใช้เวลา 6 ปีสู่นักขับ F1

อเล็กซ์ อัลบอน : เด็กไทยที่ใช้เวลา 6 ปีสู่นักขับ F1
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วงการมอเตอร์สปอร์ตของไทยเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน กับการมีสนามแข่งขันระดับโลกอย่าง ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตลอดจนการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับนานาชาติที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทว่าหากนับเฉพาะในส่วนของนักแข่งกลับพบว่า นับตั้งแต่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ทรงลงแข่งขันรถสูตรหนึ่งในช่วงทศวรรษ 1950 เรายังไม่เคยมีนักแข่งคนใดที่ได้ลงแข่งในเวทีระดับสุดยอดของโลกอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในโลก 4 ล้ออย่างรถสูตรหนึ่ง หรือ 2 ล้ออย่าง โมโตจีพี

แต่ที่สุดแล้ว ข่าวที่ทำให้แฟนกีฬาความเร็วชาวไทยต้องตื่นเต้นก็มาถึง เมื่อ อเล็กซ์ อัลบอน นักซิ่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักขับของทีมในการแข่งขัน F1 ฤดูกาล 2019

ซึ่งบางที เส้นทางชีวิตของหนุ่มวัย 23 ปีผู้นี้ อาจจะทำให้คุณต้องทึ่งกว่าข่าวที่ปรากฎเสียอีก เพราะกว่าที่ฝันจะเป็นจริงนั้น เขาต้องผ่านเรื่องราวสุดพลิกผันมากมายเหลือเกิน

สายเลือดนักซิ่ง

เห็นชื่อที่ดูฝรั่งจ๋าเช่นนี้ หลายคนอาจสงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับประเทศไทยในจุดไหน แต่หากเห็นอีกนามสกุลของเจ้าตัวเชื่อว่าน่าจะสิ้นสงสัย เพราะนามสกุล อังศุสิงห์ ของเขานั้นมีที่มาจากคุณแม่ กัญญ์กมล ซึ่งเป็นคนไทยนั่นเอง

และหากจะหาว่าเหตุใดอเล็กซ์ถึงมีฝีมือการซิ่งที่เก่งขนาดนี้ คำว่า ‘มันอยู่ในสายเลือด’ น่าจะตอบคำถามได้ตรงที่สุด เมื่อ ไนเจล คุณพ่อชาวอังกฤษนั้น เคยเป็นนักแข่งรายการ บริติช ทัวริ่งคาร์ แชมเปี้ยนชิพ (BTCC) รวมถึง ปอร์เช่ คาร์เรร่าคัพ เอเชีย มาก่อน

Photo : Facebook : Alex Albon Ansusinha

ซึ่งกรรมพันธุ์คนรักความเร็วของเขาเห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนเด็ก เมื่อเจ้าตัวเคยเผยกับสื่อไทยอย่าง ไทยรัฐ และ TrueID ว่า คำแรกที่เขาพูดได้ไม่ใช่ Mom หรือ Dad เหมือนคนอื่นๆ แต่เป็น Ferrari ค่ายม้าลำพองจากอิตาลี ผู้ผลิตซูเปอร์คาร์และสร้างรถสูตร 1 ระดับแชมป์โลก

แถมฝีมือและเส้นทางบนถนนสายความเร็วของเขาถึงตอนนี้ไปไกลกว่าคุณพ่อเสียแล้ว

เริ่มต้นเช่นไอดอล

ด้วยความที่คุณพ่อของอเล็กซ์เป็นนักแข่งรถอาชีพมาก่อน ตัวเขาจึงให้การสนับสนุนลูกชายคนโตจาก 5 คนของครอบครัวนี้อย่างสุดกำลัง ด้วยการสร้างสนามแข่งไว้ในสวนหลังบ้านให้อเล็กซ์หัดขับรถโกคาร์ทตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ

แต่นอกจากจะมีคุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจแล้ว อเล็กซ์ยังมีอีกหนึ่งไอดอลคนสำคัญ ที่คุณแม่มักต้องเรียกเขาด้วยชื่อของชายผู้นี้อยู่บ่อยครั้งเวลาที่ต้องการให้เชื่อฟังคำสอน นั่นคือ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ตำนานวงการรถสูตรหนึ่ง ผู้คว้าแชมป์โลกมากที่สุดถึง 7 สมัยนั่นเอง


Photo : Facebook : Michael Schumacher

และจุดเริ่มต้นบทเส้นทางสายนักแข่งของอเล็กซ์ก็ไม่ต่างจากไอดอลอย่างชูมี่ เมื่อเขาเริ่มลงแข่งรถโกคาร์ทเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2005 ด้วยวัยเพียง 8 ขวบ ก่อนจะสร้างชื่อด้วยการคว้าแชมป์ในหลายรายการ ทั้งในอังกฤษที่เป็นบ้านเกิด ทวีปยุโรป รวมถึงระดับโลก โดยจุดสูงสุดของอเล็กซ์กับการแข่งรถโกคาร์ต คือการคว้าแชมป์ยุโรปและแชมป์โลกในคลาส KF3 เมื่อปี 2010 ซึ่งเป็นรุ่นที่ เซบาสเตียน เวทเทล อีกหนึ่งแชมป์โลก F1 และไอดอลของเขาเคยประสบความสำเร็จเมื่อ 9 ปีก่อนหน้า


Photo : Facebook : SebastianVettel

สำหรับเป้าหมายของอเล็กซ์นั้น ถือได้ว่าเด่นชัดมาตั้งแต่แรก เมื่อความฝันของเขาคือ ‘การได้เป็นนักแข่งรถฟอร์มูล่า 1’ และผลงานในการแข่งรถโกคาร์ทก็ได้ต้องตาทีมรถสูตรหนึ่ง ซึ่งมีความผูกพันกับประเทศไทยอย่างลึกซึ้งเข้าอย่างจัง

หนึ่งปีที่ตะกุกตะกัก

เดือนเมษายน 2012 ทีม เร้ดบูล เรซซิ่ง หนึ่งในมหาอำนาจแห่งวงการรถสูตรหนึ่งทำให้คนรักความเร็วทั่วประเทศไทยต้องใจสั่นไหว เมื่อประกาศว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญา อเล็กซ์ อัลบอน เด็กหนุ่มลูกครึ่ง ไทย-อังกฤษ วัย 16 ปีในขณะนั้น ร่วมโปรแกรมนักแข่งเยาวชนของทีม พร้อมกับการเลื่อนขั้นไปแข่งขันรถล้อเปิดเป็นครั้งแรกในรายการ ฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0

และด้วยความที่ เร้ดบูล มีสายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับแดนสยาม เมื่อเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดังรายนี้ มีต้นกำเนิดจากประเทศไทยโดย เฉลียว อยู่วิทยา ในแบรนด์ กระทิงแดง (ซึ่งได้ร่วมมือกับ ดีทริช เมเทสซิทซ์ นักธุรกิจชาวออสเตรียในการนำ เร้ดบูล สู่ตลาดโลก) ความฝันที่จะได้เห็นนักแข่งรถสูตรหนึ่งสายเลือดไทยที่ห่างหายไปกว่าครึ่งศตวรรษจึงกลับมาเรืองรองอีกครั้ง


Photo : Facebook : Alex Albon Ansusinha

ทว่าโลกแห่งความจริงนั้นไม่สวยหรูเหมือนภาพที่วาดไว้ เมื่ออเล็กซ์ประสบกับปัญหาในการปรับตัวกับรถแข่งรูปแบบใหม่อย่างหนัก

“การขยับจากรถโกคาร์ทไปแข่งด้วยรถล้อเปิดนั้นถือเป็นก้าวที่ใหญ่มากครับ” เจ้าตัวเผยถึงเรื่องราวในตอนนั้น “ปัญหาสำคัญก็คือ ผมมีเวลาทำความคุ้นเคยกับรถน้อยเกินไป นอกจากนั้น ผมยังเป็นนักแข่งเพียงคนเดียวของทีม ทำให้ไม่มีไกด์คอยแนะนำแนวทางหรือแม้กระทั่งเลียนแบบในสนาม ทุกสิ่งทุกอย่างผมต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเองทั้งหมด”

การปรับตัวอันยากลำบากนี้ จึงไม่แปลกที่แม้แต่ตัวอเล็กซ์เองยังต้องยอมรับว่า ปี 2012 คือปีที่แย่ที่สุดในชีวิตการเป็นนักแข่ง เมื่อเขาไม่สามารถเก็บได้แม้แต่เพียงคะแนนเดียวในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0 ยูโรคัพ กับทีม เอพิค เรซซิ่ง


Photo : Facebook : Alex Albon Ansusinha

และแม้จะมีสัญชาติเดียวกับนายทุนผู้ให้การสนับสนุน แต่ที่สุดแล้วผลงานในสนามก็เป็นเครื่องชี้วัดทุกอย่าง นั่นทำให้ช่วงเวลาของอเล็กซ์กับการเป็นนักแข่งเยาวชนของทีมเร้ดบูลนั้นสั้นเพียงปีเดียวเท่านั้น

คืนฟอร์มเก่ง

อเล็กซ์เปิดใจถึงตอนที่ต้องออกจากโปรแกรมนักแข่งเยาวชนของทีมเร้ดบูลว่า “รู้สึกแย่เอามากๆ ทว่าเมื่อไม่อาจสร้างผลงานที่ดีได้ การถูกถอดออกจากทีมนั้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา” แต่กำลังใจและการสนับสนุนจากผู้คนรอบข้าง ก็ทำให้เขามีพลังกลับมาสู้ต่ออีกครั้ง


Photo : Facebook : Alex Albon Ansusinha

ปี 2013 เจ้าตัวได้รับโอกาสจากทีม KTR ให้พิสูจน์ตัวเองในการแข่งขันรายการเดิม ซึ่งความผิดพลาดจากปีก่อนได้ทำให้เขามีประสบการณ์มากขึ้น เมื่อเขาสามารถเก็บคะแนนสะสมได้สำเร็จเป็นปีแรก จบฤดูกาลด้วยอันดับ 16 บนตารางคะแนน ก่อนทำผลงานได้ดีขึ้นอีกในปีถัดมา เมื่อเขาสามารถขึ้นโพเดี้ยมได้ถึง 3 ครั้ง และสามารถเก็บคะแนนสะสมได้เกือบทุกเรซที่ลงแข่ง จนคว้าอันดับ 3 ในตารางคะแนนสะสมได้สำเร็จ

ปี 2015 อเล็กซ์ได้รับโอกาสไปลงแข่งในระดับที่สูงกว่า กับรายการ ฟอร์มูล่า 3 ชิงแชมป์ยุโรป ในสังกัดทีม ซิกเนเจอร์ ซึ่งแม้จะประสบกับปัญหาจนไม่จบการแข่งขันอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำผลงานได้สม่ำเสมอกับการขึ้นโพเดี้ยม 4 ครั้ง จบฤดูกาลด้วยอันดับ 7

ผลงานดังกล่าวทำให้ทีม ART กรังด์ปรีซ์ ตัดสินใจดึงเขาไปแข่งในรายการ GP3 ปี 2016 ซึ่งถือเป็นปีที่แจ้งเกิดในการแข่งรถล้อเปิดอย่างแท้จริง เมื่อเขาสามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 4 เรซ ขึ้นโพเดี้ยมอีก 3 ครั้ง และต่อสู้แย่งตำแหน่งแชมป์ประจำปีกับ ชาร์ลส เลอแคลร์ เพื่อนร่วมทีมชาวโมนาโกซึ่งมีดีกรีเป็นเด็กฝึกทีม เฟอร์รารี่ ได้อย่างสูสี


Photo : Twitter : @GP3_Official

แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในสนามสุดท้าย ซึ่งเขาไม่จบการแข่งขันทั้งสองเรซ ทำให้อเล็กซ์พลาดตำแหน่งแชมป์โลกไปอย่างน่าเสียดาย

บันไดขั้นสุดท้าย

โลกความเร็วนั้นจะว่าไปก็ไม่ต่างกับกีฬาชนิดอื่นๆ ที่หลายครั้งนักกีฬาต้องก้าวสู่เส้นทางการแข่งขันตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันรถสูตรหนึ่งยังมีโควต้านักแข่งที่จำกัดเพียงราว 20 ที่นั่งต่อฤดูกาล จึงทำให้การแข่งขันเพื่อที่จะก้าวเข้าไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง


Photo : Facebook : Alex Albon Ansusinha

“ในความคิดของผมการเป็นนักแข่งระดับฟอร์มูล่า 1 คุณต้องเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย ผมไม่ควรใช้เวลาหลายปีกับการแข่งขันระดับเดิม หากทำผลงานได้ดีคุณจะมีเงินสนับสนุนมากพอเพื่อสั่งสมประสบการณ์ ในปีแรกที่คุณเป็นนักขับหน้าใหม่ต้องเรียนรู้ให้มากที่สุด พอเข้าสู่ปีที่ 2 ต้องทำผลงานให้ดีเพื่อก้าวไปสู่อีกขั้น หากทำได้ตามนี้ ผมเชื่อว่าโอกาสจะขับรถ F1 คงอยู่อีกไม่ไกล” นี่คือสิ่งที่อเล็กซ์เปิดใจกับ กรังด์ปรีซ์ อีกสื่อสายรถยนต์ชั้นแนวหน้าของไทย

และจากผลงานอันยอดเยี่ยมระดับรองแชมป์โลกของศึก GP3 ทำให้ทีม ART ตัดสินใจดึงตัวอเล็กซ์ขึ้นมาแข่งกับทีมต่อในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า 2 ซึ่งถือเป็นบันไดสายตรงขั้นสุดท้ายก่อนถึงรถสูตรหนึ่ง โดยแม้ฤดูกาล 2017 สำหรับเขาจะถือเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับตัว แต่ผลงานของเขาก็ถือว่าไม่เลว ด้วยการเก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงแรก และแม้อาการกระดูกไหปลาร้าหักจากการปั่นจักรยานจะทำให้เขามีผลงานที่ตกไปบ้างในช่วงหลังของฤดูกาล แต่การขึ้นโพเดี้ยมอันดับสอง 2 ครั้ง ก็ทำให้เจ้าตัวจบฤดูกาลในอันดับ 10


Photo : Facebook : Alex Albon Ansusinha

เข้าสู่ฤดูกาล 2018 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ในรุ่น F2 แม้ตัวเขาจะต้องเปลี่ยนสังกัดไปอยู่กับทีม DAMS แต่เป้าหมายยังคงเหมือนเดิมตามโร้ดแมปที่วางไว้ คือต้องทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อเข้าใกล้การแข่งรถสูตรหนึ่งให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจ ด้วยการชนะไปแล้ว 4 เรซ ที่ บากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน อันเป็นสนามแรกที่เจ้าตัวชนะรุ่นนี้, ซิลเวอร์สโตน ในอังกฤษ ประเทศบ้านเกิดของเขา, ฮังการี และ โซชิ ประเทศรัสเซีย ทำให้มีโอกาสลุ้นแชมป์โลกรายการนี้กับนักแข่งที่เป็นเด็กสร้างของทีมดังๆ อย่าง จอร์จ รัสเซลล์ และ แลนโด นอร์ริส 2 นักซิ่งอังกฤษที่มีทีม เมอร์เซเดส และ แม็คลาเรน ให้การหนุนหลังตามลำดับ

ถึงกระนั้น มอเตอร์สปอร์ตก็เป็นกีฬาที่นอกจากจะวัดกันที่ความสามารถของนักขับแล้ว ยังวัดกันที่ตัวรถอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขาเท่าไหร่ เมื่อมีอยู่หลายสนามที่รถคู่ใจของเขาประสบกับปัญหาจนไม่จบการแข่งขัน ทำให้เสียคะแนนสะสมที่พึงจะได้ไปไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม การจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ของศึก F2 ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีแล้วว่า อเล็กซ์ อัลบอน พร้อมแล้วสำหรับเวลาที่ใหญ่ที่สุดในโลกความเร็วอย่าง F1

ขวบปีที่พลิกผัน

แม้ผลงานในอดีตจะเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือได้ดีระดับหนึ่ง แต่สำหรับวงการรถสูตรหนึ่ง บางครั้งฝีมืออย่างเดียวก็ไม่พอ เพราะด้วยงบประมาณการทำทีมที่สูงเกิน 100 ล้านปอนด์ต่อปี แต่ส่วนแบ่งรายได้ของทีมระดับท็อปกับทีมระดับกลางและล่างกลับแตกต่างกันมาก เราจึงมักได้ยินข่าวทีมแข่งที่ประสบปัญหาทางการเงิน หรือหนักหน่อยก็ถึงขั้นยุบทีมอยู่บ่อยครั้งในวงการนี้ ทำให้ สปอนเซอร์ กลายเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยที่จะทำให้ทีมอยู่รอด และยิ่งนักขับคนนั้นสามารถดึงดูดเงินจากผู้สนับสนุนได้ พวกเขาก็ยิ่งมีแต้มต่อในการจะได้ที่นั่งใน F1 มากขึ้น


Photo : Facebook : Alex Albon Ansusinha

ทว่าตัวของอัลบอนนั้นดูจะเสียเปรียบกับเรื่องนี้ไม่น้อย เมื่อสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขาดูจะเงินถุงเงินถังไม่พอเมื่อเทียบกับนักแข่งอีกหลายคน ประตูสู่ทีมรถสูตรหนึ่งหลายๆ ทีมจึงแทบจะถูกปิดตายโดยปริยาย ที่สุดแล้วก็ดูจะมีเพียงทีมเดียวเท่านั้น ที่น่าจะเปิดโอกาสให้กับนักแข่งหน้าใหม่โดยที่ไม่สนว่าใครคนนั้นจะมีสปอนเซอร์ส่วนตัวติดมาด้วยหรือไม่ ... นั่นคือ โตโร รอสโซ่ ทีมน้องของ เร้ดบูล เรซซิ่ง ซึ่งอัลบอนเคยเป็นนักแข่งเยาวชนเมื่อปี 2012 นั่นเอง

ปัญหาก็คือ เจ้าตัวทำผลงานได้ไม่ดีในช่วงเวลาดังกล่าว จนโอกาสที่ได้รับในคราวนั้นหลุดลอยไป โตโรรอสโซ่จึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาผลงานของเขาอยู่นานเป็นพิเศษ เพื่อให้มั่นใจว่า อดีตเด็กสร้างคนนี้พร้อมแล้วสำหรับการก้าวสู่เวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกความเร็ว

ด้วยความไม่ชัดเจนตรงหน้า อัลบอนจึงตัดสินที่จะไม่รอ ขอขยับไปสู่อีกเวทีในฤดูกาลหน้ากับการแข่งขัน Formula E หรือรถสูตรหนึ่งพลังงานไฟฟ้ากับทีมนิสสัน ซึ่งแม้จะเป็นทีมหน้าใหม่แต่เขาก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เมื่อเบื้องหลังของทีมนี้ก็คือ DAMS ที่เขาขับอยู่ใน F2 นั่นเอง

แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงแข่งในเวทีใหม่ เหตุการณ์ชีวิตพลิกผันก็เดินทางมาหาเขาอีกครั้ง ...

สู่วันฝันเป็นจริง

วงการรถสูตรหนึ่งก็เหมือนกับวงการกีฬาอาชีพหลายรายการ ที่มีการย้ายสังกัดของนักกีฬาเป็นเรื่องปกติ ยิ่งใกล้ถึงช่วงปิดฤดูกาล 2018 ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อมีการย้ายตัวนักแข่งจากทีมหนึ่งไปสู่อีกทีมหนึ่งสำหรับฤดูกาล 2019 มากมาย

ทว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กลับทำให้ทีม โตโร รอสโซ่ ประสบปัญหาอยู่ไม่น้อย เมื่อนักแข่งเบอร์ 1 ในทีมอย่าง ปิแอร์ แกสลี่ ถูกทีมแม่อย่าง เร้ดบูล เรซซิ่ง เรียกตัวไปขับให้ทีมแทน แดเนี่ยล ริคคาร์โด้ ซึ่งออกไปอยู่ทีมเรโนลต์ ขณะเดียวกัน แบรนดอน ฮาร์ทลี่ย์ นักแข่งอีกคนกลับไม่สามารถโชว์ผลงานได้ประทับใจบอร์ดบริหาร แม้ในอดีตเขาจะเคยเก่งถึงขนาดเป็นแชมป์รายการแข่งขันที่วัดความอึดมากที่สุดในวงการความเร็วอย่าง เลอมังส์ 24 ชั่วโมงก็ตาม


Photo : Scuderia Toro Rosso

ด้วยเรื่องราวข้างต้น ทำให้ โตโร รอสโซ่ ต้องมีการเปลี่ยนนักแข่งใหม่ โดยตำแหน่งของแกสลี่ พวกเขาตัดสินใจเรียกตัว แดเนี่ยล คิวิยาต นักแข่งชาวรัสเซียที่เคยเป็นเด็กปั้นของเร้ดบูล แต่โดนปลดจากสไตล์การขับสุดเสี่ยงกลับมาพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง ส่วนอีกตำแหน่ง ด้วยตัวเลือกที่มีจำกัด ที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องหันกลับมาหาอดีตเด็กปั้นอย่างอัลบอนจนได้ และแม้จะต้องมีการเจรจาเพื่อฉีกสัญญากับทีมนิสสันใน FE แต่ทุกฝ่ายต่างก็เข้าใจว่า การได้แข่ง F1 ถือเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการสักครั้ง

ที่สุดแล้ว เรื่องราวก็จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง โตโร รอสโซ่ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า อเล็กซ์ อัลบอน นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ จะมาขับให้กับทีมในฤดูกาล 2019 สมอย่างที่แฟนกีฬาความเร็วชาวไทยรอคอยมานานเสียที

"มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากๆ ครับกับการได้แข่งรถสูตรหนึ่ง แต่เส้นทางกว่าจะมาถึงตรงนี้มันไม่ง่ายเลย การถูกทีมเร้ดบูลปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 2012 ทำให้ผมรู้ดีว่า เส้นทางสู่ F1 มันจะยากยิ่งกว่าเดิมมากๆ มันทำให้ผมต้องทำงานหนักกว่าเดิมและพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ที่สุดแล้ว ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เร้ดบูลซึ่งมอบโอกาสครั้งที่สองนี้ให้กับผม" นี่คือสิ่งที่เจ้าตัวเปิดใจผ่านเว็บไซต์ของต้นสังกัดใหม่หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

ด้วยเป้าหมายที่เด่นชัดตั้งแต่แรกของอัลบอน นั่นคือการเป็นนักแข่งรถสูตรหนึ่ง ถึงวันนี้หากจะบอกว่า ฝันของเจ้าตัวเป็นจริงแล้วก็คงไม่ผิดอะไร เมื่อเส้นทางที่ผ่านมาถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขาคือของจริง กับการพาตัวเองผ่านพ้นความผิดหวัง สร้างผลงานที่ดี จนได้รับโอกาสครั้งที่สองจากผู้ที่เคยมอบโอกาสให้

ถึงกระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่า นี่คือเวทีที่ไม่มีช่องว่างให้กับความผิดพลาด หากไม่สามารถสร้างผลงานได้ ที่สุดแล้วก็จะไม่มีใครให้โอกาสอีก แต่เรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวทราบดีอยู่แล้ว ซึ่งความผิดหวังที่เขาเคยประสบ จะช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้นในเวทีการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดในโลก


Photo : www.foxsportsasia.com

และผลงานตลอดช่วงฤดูกาลแรกของปี 2019 สำหรับนักแข่งรุกกี้คนนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย เมื่อเขาสามารถจบการแข่งขันได้เกือบทุกสนาม เก็บไป 16 คะแนน โดยมีผลงานดีสุดคือ การคว้าอันดับ 6 ที่เยอรมนี ทั้งๆ ที่กว่าที่เขาจะได้ขับรถ F1 ของจริงเป็นครั้งแรก ก็ปาเข้าไปเดือนกุมภาพันธ์ 2019 เนื่องจากตอนที่ โตโร รอสโซ่ ประกาศชื่อเขาเข้าทีมเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ไม่ทันการทดสอบหลังจบฤดูกาล

ด้วยผลงานดังกล่าว ประกอบกับการที่ ปิแอร์ แกสลี่ ทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ที่สุดแล้ว เร้ดบูล เรซซิ่ง จึงตัดสินใจ ดันอัลบอนขึ้นมาขับให้ทีมใหญ่ในอีก 9 สนามที่เหลือของฤดูกาลสลับกับแกสลี่ เพื่อดูพัฒนาการ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจอีกครั้งว่าในฤดูกาล 2020 เขาจะลงเอยกับทีมใด

การขึ้นมาสู่ทีมใหญ่ ที่มีรถดีขึ้นถึงขั้นลุ้นแชมป์ได้ ถือเป็นความท้าทายอีกขั้น ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าตัวพร้อมที่จะรับบทพิสูจน์อีกครั้งอย่างเต็มที่ หลังเคยใช้เวลา 6 ปี จากที่เคยโดนเร้ดบูลปฏิเสธ กลับมาเป็นที่ต้อนรับอีกครั้ง

หลังจากที่พระองค์เจ้าพีระฯ เคยสร้างชื่อให้กับประเทศไทยเมื่อกว่า 50 ปีก่อน ด้วยการเป็นนักแข่ง F1 คนแรก ... อเล็กซ์ อัลบอน อาจจะเป็นคนไทยคนแรก ที่ได้นำธงไตรรงค์ขึ้นไปปรากฎบนโพเดียมในการแข่งขันความเร็วที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หรืออาจถึงขั้นได้เปิดเพลงชาติไทยในฐานะ ผู้ชนะการแข่งขัน ก็ได้

แต่ทั้งหมดทั้งปวงจะเป็นจริงเมื่อไหร่ ก็ขึ้นกับตัวเขาเองแล้ว ...

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook