สู้, วิ่ง, นิ่ง, รอด : ฝันร้ายกลางป่า 17 ชั่วโมงของ คารี่ สเวนสัน กับ มนุษย์ภูเขา

สู้, วิ่ง, นิ่ง, รอด : ฝันร้ายกลางป่า 17 ชั่วโมงของ คารี่ สเวนสัน กับ มนุษย์ภูเขา

สู้, วิ่ง, นิ่ง, รอด : ฝันร้ายกลางป่า 17 ชั่วโมงของ คารี่ สเวนสัน กับ มนุษย์ภูเขา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ป่าสนดิบชื้น, ซากกระต่ายที่แขวนไว้เพื่อชำแหละ, ขวานอันยักษ์ที่สับอยู่บนฟืน และ กระท่อมไม้ สิ่งเหล่านี้คุณสามารถเห็นได้ในหนังฆาตกรรมโรคจิตสักเรื่อง ... ทว่าเรื่องที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้คือเรื่องจริง

นี่คือเรื่องราวของ คารี่ สเวนสัน นักกีฬาสาวชาวสหรัฐอเมริกาที่การออกไปซ้อมวิ่งธรรมดา กลับลงเอยด้วยการถูก 2 พ่อลูกโรคจิตผู้หนีจากสังคมเมืองออกมาใช้ชีวิตในป่าจับตัวไป

เหตุผลไม่ใช่เรื่องของเงินและความแค้น แต่มันคือเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางเข้าใจแน่นอนว่า พวกเขาทำไปเพื่ออะไร? และเธอรอดหรือไม่? ติดตามทั้งหมดได้ที่นี่ 

คารี่ สเวนสัน อนาคตของชาติ

โอลิมปิกฤดูหนาว คือมหกรรมกีฬาที่คนไทยไม่คุ้นเคยนักแต่การแข่งขันนี้มีมาอย่างยาวนาน ในฐานะ มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติของกีฬาประเภทที่เกี่ยวข้องกับความหนาวเย็น ไม่ว่าจะเป็น สกี หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งแม้แต่ประเทศที่ไม่มีหิมะตกก็สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้


Photo : Mishgan

ทีมชาติสหรัฐอเมริกา คือชาติที่ต้องการความสำเร็จในทุกการแข่งขัน และมีกีฬาชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Biathlon (กีฬาที่เล่นสกีไปพร้อมๆ กับการยิงปืนไรเฟิล) ซึ่งมีนักกีฬาดาวรุ่งวัย 21 ปี ชื่อ คารี่ สเวนสัน ผู้ที่เพิ่งคว้าอันดับ 3 ในศึกชิงแชมป์โลกที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือน มีนาคม ปี 1984 

คารี่ กำลังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตนักกีฬาของเธอ เธอได้รับคำชม ความคาดหวัง และถูกวางตัวให้เป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ทั้งในศึกชิงแชมป์โลกต้นปี 1985 และโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1988 อีกด้วย

"ฉันตื่นเต้นมากๆ เลยที่จะได้เป็นหนึ่งในทีมของสหรัฐอเมริกา ฉันได้รางวัล ฉันได้คำชม และมาไกลจนได้แข่งชิงแชมป์โลกในปี 1984" เธอเคยเขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่ง

ในอีกด้านหนึ่งของชีวิต คารี่ เป็นหญิงสาวที่ชอบทำกิจกรรมและลองอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิตอยู่เสมอ เธอได้ทุนเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีคณะ ชีววิทยา ที่มหาวิทยาลัย มอนตาน่า สเตท ตามรอยคุณพ่อของเธอซึ่งเป็นอาจารย์ในสถาบันแห่งนี้ มหาวิทยาลัยดังกล่าวตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา มีอาณาเขตติดกับประเทศแคนาดา และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในรัฐนี้คือ "ป่าที่อุดมสมบูรณ์" หันไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวให้เห็น

รัฐนี้มีป่าและสัตว์ป่ามากมาย บรรยากาศในเมืองเหมือนกับหนังแนวคันทรี่ยุคคาวบอยอะไรทำนองนั้น ถนนหนทางกว้างขวาง รถยนต์ไม่มาก การจราจรไม่แออัดและที่เด็ดที่สุดคือธรรมชาติอย่าง เกลเซีย เนชั่นแนลพาร์ค หรือ อุทยานธารน้ำแข็ง ที่ได้รับฉายาว่าเป็นมงกุฎแห่งทวีป ส่วนผู้คนที่นี่จากปากคำของคนที่เคยไปเยี่ยมชมและท่องเที่ยวบอกกันว่ามีความเป็นมิตรและอัธยาศัยดีกว่าเมืองใหญ่มากโขเลยทีเดียว 


Photo : Mishgan

ด้วยสิ่งแวดล้อมดังกล่าวทำให้ คารี่ มักจะหาเวลาไปออกกำลังกายทุกวัน เธอจะเริ่มออกวิ่งจ๊อกกิ้งประมาณช่วงเวลา 5 โมงเย็น บริเวณอุทยานที่ชื่อว่า "บิ๊กสกาย แอเรีย" และเพราะว่ามันคือเมืองที่สงบและมีเพื่อนร่วมเมืองที่ทำให้มีความรู้สึกอบอุ่น นั่นจึงทำให้เธอไม่เคยเจอเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับการซ้อมวิ่งในป่าในเขาเลยสักครั้ง และแม้จบการศึกษาไปแล้ว นี่ก็ยังเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ

ความสม่ำเสมอทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรงและพร้อมสำหรับการแข่งขันใดๆ ก็ตามที่รออยู่ ทว่าในขณะเดียวกันมันกับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอถูกอ่านพฤติกรรมได้ง่ายมาก ... "5 โมงเย็น ณ บิ๊กสกาย ไปรอเถอะ เจอเธอแน่" นั่นคือสิ่งที่ใครต่อใครก็รู้กัน และมันทำให้เธอต้องเจอกับสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล 

เรื่องวันนั้น...

หญิงสาววัยใส กับกางเกงขาสั้นเข้ารูปเพื่อความสะดวกในการวิ่ง คือภาพซึ่งผู้ชายทุกคนยอมรับว่าเป็นอะไรที่น่าดูชวนมองเป็นอย่างยิ่ง ผู้ชายส่วนใหญ่อาจจะแค่มองและจบไปแต่ไม่ใช่กับชาย 2 คนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าที่เห็น คารี่ มาเนิ่นนานและมีแผนการสำหรับเธอโดยเฉพาะ และต้องเป็นเธอคนเดียวเท่านั้น 

ขณะที่ คารี่ กำลังวิ่งเข้าไปส่วนของพื้นที่ที่มีป่าทึบ ลึกเข้าเรื่อยๆ ชายสองคนเดินออกมาและบอกให้เธอหยุด ... คารี่ รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี ผู้ชายสองคนนี้แต่งตัวด้วยชุดเหมือนคนท้องถิ่นปกติเพียงแต่ว่ามันสกปรกมากราวกับไม่เคยผ่านการซักมาก่อน ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง และกลิ่นตัวเหม็นหึ่ง ไม่ต้องเดาให้ยุ่งยากนี่คือ "คนป่า" ในเวอร์ชั่นที่เคยเป็นคนเมืองมาก่อน 

เธอเริ่มใช้พลังที่เหลือทั้งหมดวิ่งหนีการสกัดของชายทั้ง 2 คน เธอเล็งว่าจะวิ่งไปบริเวณสันเขาและหวังว่าจะเจอนักปีนเขาสักคน พนักงานของรัฐที่กำลังซ่อมถนน หรือพนักงานเอกชนที่กำลังตัดต้นไม้ ... ใครก็ได้สักคนที่จะพาเธออกไปจากสถานการณ์นี้ แต่โชคไม่ดีที่ไม่มีใคร และเธอหกล้มเหมือนกับในหนังฆาตกรรม ทั้งสองคนเชี่ยวชาญกว่าในที่แห่งนี้ พวกเขาดักเธอไว้แบบล้อมหน้าล้อมหลัง 

"สวัสดี" คารี่ รวบรวมสติและทำเสียงให้ปกติที่สุด "ทางนี้คือทางผ่านไป แจ็ค ครีก ใช่หรือเปล่าคะ?" เธอลองตั้งคำถามเพื่อหยั่งเชิงดูก่อน

"อืม ... ไป แจ็ค ครีก ทางนี้แหละ" ชายที่อายุมากกว่าตอบและส่งรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูกว่ามันเกิดจากความรู้สึกอะไร ... คารี่ ได้ยินและรีบหันกลับเพื่อจะวิ่งไปทางที่เธอมาแต่ก็ไม่ทัน ไม่ทันไรชายคนที่อายุน้อยกว่าก็โผล่พรวดเข้ามารวบเอวของเธอและเธอเองก็ดิ้นไม่หลุด เขาจับแขนเธอไพล่หลังและบีบแน่นจนเธอรู้สึกว่ากระดูกของเธออาจจะหักแล้วก็ได้

"ปล่อยฉันไปนะ ได้โปรด" เธอ ไม่รู้จะหาคำพูดอะไรที่ดีกว่านี้ได้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบจากชายแก่ที่เป็นเหมือนหัวหน้าตอบกลับด้วยเสียงที่สงบเยือกเย็นว่า "ไม่หรอก ... เราไม่ปล่อยคุณแน่"

ทุกอย่างเงียบไปหลายวินาที ต่างฝ่ายต่างรอท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะเป็นอย่างไร คารี่ รวมสติได้และพยายามจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด เธอพยายามจะกลับมาคุมสถานการณ์ให้ได้ แม้จะรู้ว่า ณ ตอนนี้เธอกำลังมีความเสี่ยงถึงชีวิตก็ตาม

"คุณต้องการอะไร ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยฉันไป?" คารี่ เอาชนะความกลัวและพูดออกมา 

"เอาล่ะ ... เราอยู่ในป่าในเขามานาน เราไม่เคยเจอผู้หญิงสวยอย่างคุณบ่อยนักหรอก เราแค่อยากจะคุยกับคุณโดยใช้เวลาสักพักเท่านั้น ... ย้ำนะแค่คุยจริงๆ" ชายแก่ ยังเป็นคนตอบคำถามของเธออีกเช่นเคย

คารี่ คิดว่าเธอถือไพ่เหนือกว่า เธอคิดว่าชาย 2 คนนี้เป็นชาวป่าชาวเขาที่แค่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป หากเธอยืนกรานเสียงแข็งทั้งสองคนก็อาจจะมีท่าทีที่อ่อนลงก็เป็นได้ และเธอบอกไปว่า "ขอโทษด้วยนะ ฉันมั่นใจมากๆ ว่าไม่มีอะไรจะคุยกับพวกคุณทั้งสองคน" 

จบประโยคเธอสลัดมือและจะออกวิ่ง แต่หนนี้ชายแก่ลงมือเอง และเป็นการลงมือที่หนักกว่าเดิน เขาบิดแขนเธอสุดแรงเกินและย้ำด้วยน้ำเสียงที่เพิ่มอารมณ์โมโห 

"อืม ... ถ้าคุณกลัวว่าเราจะข่มขืน จงทำใจให้สบาย เราจะไม่ข่มขืนคุณแน่ ผมขอย้ำอีกครั้งว่า "เรา ... แค่ ... อยาก ... คุย ... ด้วย"  เขาเน้นคำแบบช้าๆ และชัดๆให้ คารี่ เข้าใจอีกครั้ง 

แรงจูงใจที่ไร้คนเข้าใจ 

พวกเขาไม่อยากได้เงิน พวกเขาจะไม่ข่มขืนเธอ แล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่? ... คารี่ เองก็สงสัยเรื่องนี้ ตอนนี้เธอสงบลงมากและเริ่มทำตามที่พวกนั้นบอกนั่นคือ "นั่งสนทนากัน"

"คุณแต่งงานแล้วหรือยัง?" 


Photo : the-line-up.com

"แน่นอนที่สุดแต่งแล้ว สามีของฉันชื่อ บิลลี่ โซอา" เธอพยายามตอบด้วยชื่อแปลกๆ ไปก่อนเพราะคิดจะขู่ให้พวกนั้นกลัวว่าสามีของเธอจะมาล้างแค้นในภายหลัง ซึ่งความจริงแล้วเธอยังโสด 

"หึ ..." ชายแก่กระแอม "แล้วทำไมไม่สวมแหวนแต่งงาน?" 

"ฉันไม่ใส่มันเพราะฉันต้องทำงานที่โรงครัว บางทีหากโชคร้าย แหวนมันจะไปขัดกับเครื่องจักรแล้วทำให้นิ้วฉันขาดได้น่ะ สามีฉันที่ทำงานด้วยกันก็ไม่ใส่" เธอโกหกอีกครั้ง แต่ก็เป็นการโกหกที่มีพื้นฐานจากเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง

"แกเชื่อเธอไหมเนี่ยแดนนี่?" ชายแก่เริ่มเรียกชื่อคนที่หนุ่มกว่าว่า "แดนนี่" ก่อนที่ แดนนี่ จะบอกว่าด้วยท่าทีที่เลิ่กลั่กและไม่มีความเป็นมืออาชีพเหมือน "ดอน" ชายชราคนนั้นที่เป็นพ่อของเขา 

"พ่ออย่าไปเชื่อ ผู้หญิงพวกนี้มันโกหก พาเธอไปจากที่นี่เถอะ" แดนนี่ บอกกับพ่อของเขา 

ดอนนี่ ลุกขึ้นยืนเพื่อมาคุยกับ คารี่ เป็นครั้งสุดท้าย เขาบอกว่าจะไม่ฆ่าเธอแน่ พวกเขาจะเก็บเธอไว้ในฐานะภรรยา ไม่ใช่สำหรับตัวของเขา และไม่ใช่สำหรับของแดนนี่ แต่ เคารี่ จะต้องรับบทภรรยาของทั้ง 2 คน ซึ่งตัวของ ดอนนี่ วางแผนไว้ว่าเขาจะใช้ชีวิตครอบครัวแบบ 3 ผัวเมียที่สงบสุขในป่าลึกร่วมกันกับ คารี่ และ แดนนี่ ... แน่นอนว่าเมื่อถึงตรงนี้ เขาเป็นพวกโรคจิตจริงๆ แล้ว

"ฉันถูกบังคับให้ยืนขึ้นและเดินหน้า พร้อมกับโดนตบเข้าที่หน้าด้วย พวกเขาผลักฉันจนล้มลงพื้นและล่ามโซ่ฉันเอาไว้ติดกับ แดน พวกเขาใช้ทั้งปืนและมีดขู่บังคับฉันเหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง เราเดินผ่านแนวต้นไม้ในยามค่ำคืนไปเรื่อยๆ วนไปอยู่แบบนั้น" คารี่ อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น 

12 ชั่วโมงผ่านไป

สภาพร่างกายของคารี่ เริ่มอิดโรยในช่วงกลางดึก สองพ่อลูกตัดสินใจว่าจะก่อไฟและพักแรมก่อน และจากนั้นตอนเช้าจะเดินทางไปยังกระท่อมกลางป่าของพวกเขา คารี่โดนมัดติดกับต้นไม้ด้วยโซ่ที่แน่นหนา เธอคิดว่าเธอคงไม่รอดแน่ อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้น ... แต่เธอยังมีโชค 


Photo : www.bozemandailychronicle.com

กลุ่มเพื่อนนักวิ่งที่เจอกับเธอประจำในทุกวันๆ ผิดสังเกตว่าเหตุใดวันนี้คารี่ ถึงวิ่งเข้าป่าและยังไม่กลับมา พวกเขาไม่รอให้ครบ 24 ชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับแจ้งคนหาย แต่กลุ่มนักวิ่งที่เหลือรวมตัวกันจัดทีมค้นหา โดยคนที่รุดหน้ามาก่อนใครคือ อลัน โกลสตีน นักวิ่งคนสนิทเพื่อนซี้ของ คารี่ และเพื่อนอีกคนหนึ่งที่วิ่งตามเส้นทางเดียวกันบ่อยๆ พวกเขาเริ่มออกหาคารี่ ตั้งแต่ฟ้ามืดและนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อเวลาใกล้สว่าง โกลสตีน สามารถมาถึงจุดที่ 2 พ่อลูก และ คารี่ พักแรมแล้ว

โกลสตีน มาถึงเวลาฟ้าสาง เขาเห็นคารี่ ถูกมัดอยู่และคิดจะเข้าไปช่วยทันที แต่ คารี่ ก็กรีดร้องให้ดังที่สุดเพื่อต้องการจะบอกกับเขาว่า "อย่างเพิ่งเข้ามา"

"ฉันเริ่มกรีดร้องและตะโกนบอก อลัน ว่าอย่างทะเล่อทะล่าเข้ามาเพราะเขามีปืน" คารี่ กล่าว ... แน่นอน ดอน ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงนั้นจึงส่งปืนให้ลูกชาย 1 กระบอก เตรียมเริ่มเปิดการต่อสู้เต็มรูปแบบ โชคร้ายมากที่ อลัน โกลสตีน ไม่มีปืนติดตัวมาด้วย ...

"แกไม่รอดแน่ ตอนนี้กำลังมีคนตามมาอีก 200 คนพร้อมอาวุธด้วย" โกลสตีน ตะโกนขู่ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น  

"แคร็ก" เสียงนี้ดังขึ้น และทุกคนหยุดมอง ชายแก่ยกปืนขึ้นมาและเหนี่ยวไกพร้อมยิง ทุกอย่างหยุดนิ่ง ณ เวลานั้น  

"พวกเราต้องการแค่ความเป็นมิตรจากสุภาพสตรีคนนี้เท่านั้น และใครก็ตามที่คิดจะช่วยเธอเราก็ต้องขอโทษด้วยที่คนคนนั้นจะต้องถูกฆ่าทิ้งเสียตั้งแต่ตรงนี้" ชายแก่ย้ำอีกครั้งเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และหลังจากนั้นอึดใจเดียวชนิดที่ว่านับ 1 ไม่ถึง 3 เขาก็ตัดสินใจยิงขึ้นมา 1 นัด

"เปรี้ยง" ความแม่นยำไม่ต้องพูดถึง เขาอยู่ป่ามาแล้วเป็น 10 ปี ใช้ชีวิตกับการล่าสัตว์ ดังนั้นกระสุนนัดเดียวก็สามารถเจาะอก โกลสตีน ทันที ผู้เข้ามาช่วยคนแรกล้มลงไป ทำให้เพื่อนอีกคนผู้มาพร้อมกับ โกลสตีน ตัดสินใจวิ่งหนีกลับไปขอกำลังเสริมและความช่วยเหลือเพิ่มเติม

โอกาสรอดของ คารี่ มาแล้ว เธอตะโกนดังยิ่งกว่าเดิม กรีดร้องหนักยิ่งกว่าเก่าเพื่อบอกจุดที่อยู่จุดนี้ ดอนนี่ บอกให้ลูกชายของเขาหาอะไรอุดปากให้เธอเงียบซะ แต่ แดนนี่ ที่อายุแค่ 14 ปีในตอนนั้น ร้อนรนจนเกินไป เขาใจสั่นกับสิ่งที่เห็น ศพของโกลสตีนที่นอนอยู่ข้างๆ กองไฟ จนเกิดความผิดพลาด ปืนในมือของเขาลั่นขึ้น 1 นัด เจาะอกของ คารี่ พอดิบพอดี 

สถานการณ์ตอนนี้เละเกินการควบคุม มีคนตายแล้ว 1 ศพ ส่วนอีกคนหนึ่งที่โดนยิงกำลังจะกลายเป็นศพที่ 2 หนำซ้ำยังมี 1 คนหนีรอดและกำลังไปตามความช่วยเหลือ และเมื่อเขาบอกเล่าว่าเห็นอะไรบ้างแน่นอนว่าคนที่ตามมาจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างแน่นอน ดอนนี่ และ แดนนี่ จึงหนีไปดื้อๆ เพียงแต่ว่าก่อนจะหนีเจ้าหนูแดนนี่แก้มัดให้ คารี่ และให้ถุงนอนกับเธอเพื่อความอบอุ่น ... เขาไม่รู้ว่าเธอจะรอดไหม แต่แค่ทนเห็นภาพเธอโดนมัดทั้งๆ ที่เลือดไหลออกจากหน้าอกไม่ได้เท่านั้นเอง 

คารี่ รวมแรงเฮือกสุดท้ายเอาตัวใส่ถุงนอน เดินคลานกระเสือกกระสนมาที่กองไฟเพื่อบรรเทาความหนาว เธอ ต้องพยายามทำให้ตัวเองไม่หลับตลอดช่วงเวลาที่เหลือจนกว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึง เพราะถ้าหมดสติไปเธอตายแน่

"ฉันตกใจ และคิดว่ากำลังจะตายจริงๆ" คารี่ อธิบายถึงความรู้สึกนั้น 

เรื่องที่ต้องเคลียร์ให้จบ

4 ชั่วโมงข้างกองไฟกลางป่าที่ต้องแข็งใจไม่ให้หลับ คารี่ ทำได้ ทีมช่วยเหลือมาช่วยเธอไว้ได้และส่งตัวเธอเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ใช้เวลาตามจับ ดอนนี่ และ แดนนี่ ได้ในเวลาหลังจากนั้น 5 เดือน ขณะที่ทั้งคู่ออกมาล่าสัตว์หาเสบียง


Photo : Mishgan

ทั้งสองคนมีชื่อเต็มๆ ว่า ดอน นิโคลส์ และ แดน นิโคลส์ เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากดอนผู้เป็นพ่อหมดศรัทธากับกฎหมายในประเทศซึ่งเขาไม่ได้ระบุว่ามันคือเรื่องอะไร แต่มันทำให้เขาหอบเอาแดนนี่ เข้ามาอยู่ในป่าและตัดขาดจากโลกภายนอกตั้งแต่ยังเล็ก

"ผมไม่เชื่อในโรงเรียน ผมสมเพชกฎหมาย พวกเขาก็ทำเป็นเหมือนคนมีอารยธรรม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นๆ เหมือนกับคนป่านั่นแหละ ... อะไรที่ผมเสียใจน่ะเหรอ? สิ่งที่ผมร้องไห้มีอย่างเดียวคือวันที่หมาจิ้งจอกไคโยตี้ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของแดนตายนั่นแหละ" เขาเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นและยืนยันว่าจะไม่เสียใจและเสียน้ำตากับสิ่งที่เขาทำต่อ คารี่ และ โกลสตีน 


Photo : www.seattletimes.com

ดอน รับสารภาพแต่เพียงผู้เดียวทั้งหมดและบอกว่าเขาเป็นคนลงมือทำทุกเรื่อง นั่นทำให้แดนที่เป็นลูกชายโดนแค่คดีอาชญากรรมลักพาตัวเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาบอกหลังจากนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า เพราะ คารี่ ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่เขาลักพาตัวเข้ามาในป่า 

ดอน เริ่มลักพาตัวผู้หญิงมาแล้วเป็นเวลาถึง 6 ปี แต่เขาบอกว่าถ้าผู้หญิงไม่ทำตัวมีปัญหาเขาจะไม่ข่มขืนหรือทำร้าย เขาแค่อยากหาเพื่อนคุยเท่านั้นจริงๆ 

"ผมบอกกับเธอ (คารี่) แล้วว่า ผมจะไม่ข่มขืนหรือทำอะไรแบบนั้น จะเก็บเธอไว้เป็นเพื่อน เธอก็แค่ดูดีและควรจะเป็นของเราพ่อลูกแค่นั้นเอง ... มิสสเวนสันโชคดีมากที่มีคนมาช่วยก่อนที่เราพ่อลูกจะมีอารมณ์ทางเพศขึ้นมาจริงๆ" ดอน ยังกล่าวต่อไปแบบไม่สะทกสะท้าน 

"ผมไม่ได้สนใจสักนิดเลยว่าคนอย่างพวกคุณจะคิดยังไง" เขากล่าวทิ้งท้ายกับ มาร์ค ราคิค็อต อัยการในคดีดังกล่าว 


Photo : www.bozemandailychronicle.com

ดอน ถูกโทษจำคุก 85 ปี ขณะที่แดน ลูกชายนั้นถูกจำคุก 10 ปี แต่เพียง 6 ปี ก็ได้รับทัณฑ์บนปล่อยตัวออกมาในปี 1991 ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ก่อคดีอีกมากมาย เข้าๆ ออกๆ คุกเป็นระยะ ขณะที่ตัวการใหญ่อย่าง ดอน ผู้เป็นพ่อ ได้รับการลดหย่อนและเพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุกในปี 2017 ที่ผ่านมา ตอนนี้เขาอายุ 82 ปีและยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ส่วนคนที่น่าเห็นใจที่สุดคือ คารี่ สเวนสัน ที่ต้องเจอกับจุดเปลี่ยนมากที่สุด เพราะหลังจากนั้นร่างกายของเธอก็ไม่สามารถเล่นกีฬาหนักๆ ได้อีกเลยจากปอดที่เสียหาย ปัจจุบันเธอทำงานเป็นสัตวแพทย์ในรัฐมอนตาน่า และใช้ชีวิตแบบสงบเงียบหลังจากผ่านนรก 17 ชั่วโมงที่เปลี่ยนชีวิตเธอในวันนั้น

สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดในเรื่องนี้สำหรับคารี่ คือ ปัจจุบัน 2 คนที่เปลี่ยนชีวิตเธอยังคงมีชีวิตอยู่และเป็นอิสระแล้ว ... ซึ่งจากการกระทำในประวัติอาชญากรรมที่ผ่านมามันบอกได้ว่าคนพวกนั้นไม่ได้สำนักผิดหรือเกรงกลัวต่อบาปมากขึ้นหรืออย่างไรเลย 

แม้พ่อลูกทั้งสองจะชดใช้กรรมหลังลูกกรงมาแล้วก็ตาม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook