หงส์แดง “คืนชีพ” อย่างสมบูรณ์

หงส์แดง “คืนชีพ” อย่างสมบูรณ์

หงส์แดง “คืนชีพ” อย่างสมบูรณ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่ามกลาง “ฝนปรอยๆ” จาก เซนต์ แมรี่ส์ สเตเดี้ยม ลิเวอร์พูล สามารถ “ก้าวผ่าน” อีก 1 ความยากประจำฤดูกาลนี้ และผ่านบททดสอบสำคัญหลังบุกมาชนะเจ้าถิ่น เซาแธมป์ตัน 2-0 แบบสนุก ตื่นเต้น

“ตัวเลข” ที่ถูกพูดถึงกันมากหลังเกม คือ การแซง สเปอร์ส ขึ้นอันดับ 6 โดยมีแต้มตามหลังนักบุญในอันดับ 5 เพียง 1 คะแนน

และอยู่ห่างพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อันดับ 3 อาร์เซนอล และอันดับ 4 แมนฯยูไนเต็ด เพียง 3 และ 2 คะแนนตามลำดับเท่านั้น

เปรียบกับสถานการณ์เมื่อ 14 ธ.ค.จากโอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่ ลิเวอร์พูล บุกพ่ายทีม ปีศาจแดง 0-3 แล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

หลังเกมดังกล่าวที่กลายเป็นแมตช์สุดท้ายที่ลิเวอร์พูลแพ้ในลีก และแมตช์สุดท้ายที่เสียประตูเกมเยือน ลิเวอร์พูล มีแต้มห่างจาก หลุยส์ ฟาน ฮัล และลูกทีมถึง 10 คะแนน

ฤดูหนาวช่วงก่อนคริสต์มาสดังกล่าวดูไม่เป็นใจ และอยากจะคาดคิดว่า ลิเวอร์พูลจะเก็บชัยชนะได้ถึง 7 จาก 10 นัดหลังจากนั้นในพรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้ใคร และทำอันดับ/แต้ม พุ่งขึ้นมาโซน UCL ได้อย่างน่าทึ่ง

ครับ ผมขอมอบ “เครดิต” การตัดสินใจที่ถูกต้องของ แบรนแดน ร็อดเจอร์ส อย่างน้อยๆ 10 ประการมาฝากกันนะครับ :

1. การปรับมาเล่นระบบ 3-4-3 ตั้งแต่นัดสุดท้ายที่แพ้ในพรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และก็ทำได้ดีจาก “ทรัพยากร” ที่มีอยู่

2. ด้วยระบบดังกล่าว ร็อดเจอร์ส ยังจับ เอมเร่ ชาน ดาวเตะเยอรมันจากมิดฟิลด์ไปยืนเป็นแกนหลัก 1 ใน 3 คนแนวรับ และก็ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม

3. การให้โอกาสเจ้าหนู ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้กลับไปพักผ่อนที่จาไมก้าก่อนจะกลับมาทำผลงานได้ดีใน แคปิตอล วัน คัพ นัดตัดเชือกกับ เชลซี จนกระทั่งตอนนี้ และน่าจะเล่นดี/ยิงได้ไปจนจบซีซั่น

4. จู่ๆกับเจ้าอีกดาวเตะวัย 19 ปี จอร์ดอน ไอบ์ มา “แจ้งเกิด” ทางฝั่งขวาในเกมสำคัญ “ดาร์บี้แมตช์” กับเอฟเวอร์ตัน และเลือกเป็นตัวหลักแซงหน้า เกล็น จอห์นสัน ที่หายเจ็บกลับมาแล้ว

5. การสั่งพัก ซิมง มินโญเล่ต์ แบบ “ไม่มีกำหนด” และแม้จะกลับมาเร็วเกินคาดเพราะ แบรด โจนส์ ได้รับบาดเจ็บ ทว่า “เวลาว่าง” ที่หายไป ได้ทำให้นายด่านเบลเยียมกลับมา “คืนฟอร์ม” ได้อย่างเหลือเชื่อ

6. การตัดสินใจอนาคต สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่บังเอิญตอนนี้เจ็บ และกลายเป็นว่า ลิเวอร์พูลไม่จำเป็นต้องมีกัปตันทีมคนเก่งเป็นแกนหลักอีกแล้ว แม้ว่า “บทจบ” จะไม่ค่อยสวยงามนักก็ตาม

7. การ “รับมือ” ปัญหา มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่แม้จะยังไม่ได้มีเครื่องพิสูจน์ว่า ประสบความสำเร็จ ทว่าผลงานของ “ซูเปอร์มาริโอ” ใน 3 นัดหลังไม่รวมนัดชนะเซาแธมป์ตันดูกลับมา “สดใส” ขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับต้องยอมรับว่า แฟนบอลยังไม่ได้ยินปัญหาระหองระแหง หรือเรื่อง “งี่เง่าๆ” ของบาโลเตลลี่ เหมือนในอดีตกับทีมเก่าๆของเค้า

8. การจับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นหน้าเป้าสไตล์ “False No.9” หลังทีมเจอปัญหาการเสีย หลุยส์ ซัวเรซ และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ จากการบาดเจ็บ ขณะที่ ริคกี้ แลมเบิร์ต และ มาริโอ บาโลเตลลี่ ยังคลำฟอร์มเก่งไม่เจอ

9. การรีดพลัง เฟลิเป้ คูตินโญ่ ให้ฟื้นคืนชีพ และกลายเป็นกำลังหลักของทีมในระบบกองหน้า 3 ตัว ทุกวันนี้ ดาวเตะบราซิเลียน ถือเป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้ และลงเป็นตัวจริงติดต่อกันมา 19 นัดแล้ว โดยมีถึง 17 นัดที่เล่นครบ 90 นาที

10. เกมรับที่มี มาร์ติน สเคอร์เทล กลับมาระเบิดฟอร์มเหนียวอีกหน กำลังสร้างสถิติไม่เสียประตูในเกมเยือนได้ถึง 469 นาที หรือกว่า 5 นัด

ดีที่สุดนับจากยุค ค.ศ.1985 อลัน แฮนเซ่น – มาร์ค ลอว์เรนสัน ที่ลิเวอร์พูลไม่เสียประตูเกมเยือนติดต่อกัน 5 นัด

...เกมกับ เซาแธมป์ตัน แม้จะประเด็น “ฮอต” ไม่แพ้กันกับการตัดสินของ เควิน เฟรนด์ ที่ “ปฏิเสธ” จุดโทษเจ้าบ้าน 3 ครั้ง และอาจจะเป็น “ใบแดง” อีก 2 หนจนเจ้าถิ่นไม่ได้ประโยชน์ใดๆจากการตัดสิน

“One – nil to the referee” คือ เสียงร้องแฟนๆนักบุญตอนพักครึ่งส่งถึง เฟรนด์ อันหมายถึง ลิเวอร์พูลนำ 1-0 ในครึ่งแรกเพราะกรรมการ!

พิจารณาแต่ละนาที หากจะรายงานในสไตล์ โจเซ่ มูรินโญ่ :

นาทีที่ 1 ฟิลิป ยูริซิช โดน เอมเร่ ชาน เหนี่ยวในเขตโทษ ซึ่งน่าจะเป็นจุดโทษ และใบแดงสำหรับดาวเตะเยอรมัน
นาทีที่ 4 ยูริซิช โดน โจ อัลเลน สอยคว่ำแบบไม่โดนบอลในเขตโทษ แต่ก็ไม่ได้จุดโทษเช่นกัน
นาทีที่ 44 เดยัน ลอฟเรน ทำแฮนด์บอลชัดเจน แต่เฟรนด์ก็ไม่เห็นอีกเช่นเคย
ปิดท้ายนาทีที่ 45 ซิมง มินโญเล่ต์ ออกมาตัดบอล แล้วก้ำกึ่งจะแฮนด์บอลนอกกรอบเขตโทษที่มีสิทธิ์โดนใบแดง แต่ผลการตัดสินก็เหมือนเดิม

ดังนั้นก็ไม่แปลกครับสำหรับเสียงตะโกน “One – nil to the referee”


ขณะที่ลิเวอร์พูลเองมี 1 เหตุการณ์นาทีที่ 31 ซึ่งสเตอร์ลิ่งโดน โจเซ่ ฟอนเต้ สกัดทั้งบอล และคนในเขตโทษให้ได้ “โต้แย้ง” แต่ส่วนตัวผมมองว่า ดอกนี้ ฟอนเต้ โดนบอล จึงขอยกผลประโยชน์ให้จำเลย

ทุกเหตุการณ์ข้างต้น มองในมุมการตัดสินได้ 2 ประการ คือ :

1. หาก เควิน เฟรนด์ ไม่แน่ใจก็ “เหมาะสม” แล้วที่ไม่ให้จุดโทษจากทั้ง 4 เหตุการณ์ข้างต้นที่ “ให้ได้” หรือไม่ได้ไล่มินโญเล่ต์ออกไป
2. มัน “ไม่เหมาะสม” อย่างแรง เพราะในมุมนี้จะมองว่า เฟรนด์ ไม่ทันเกม และตัดสินผิดพลาดบ่อยครั้งอย่างเหลือเชื่อในแมตช์เดียว

 ...ถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล เตรียมตบเท้าเข้ารอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ (รอบ 8 ทีมได้เจอแบล็คเบิร์นในแอนฟิลด์) ขณะที่ในบอลลีกก็ถือว่า หงส์คัมแบ็กได้แล้วอย่างเป็นทางการ

ช่างเป็นการ “คืนชีพ” ที่เหลือเชื่อ และแบรนแดน ร็อดเจอร์ส คู่ควรกับเครดิตจริง ๆ ครับ

ไข่มุกดำ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook