การบริหารจัดการสไตล์ "ลิเวอร์พูล" และ "เรอัล มาดริด"

การบริหารจัดการสไตล์ "ลิเวอร์พูล" และ "เรอัล มาดริด"

การบริหารจัดการสไตล์ "ลิเวอร์พูล" และ "เรอัล มาดริด"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประเด็นวันนี้ไม่มีอะไรครับ เพียงแค่อยากจะ “ขยาย” แนวคิดการบริหารจัดการของสโมสรเรอัล มาดริด หลังแถลงข่าวแยกทางกับ คาร์โล อันเชล็อตติ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

ท่านประธานสโมสร ฟลอเรนติโน่ เปเรซ นัดผู้สื่อข่าวแถลงการณ์หลังการประชุมบอร์ดบริหารที่มีมติให้ “ปล่อยตัว” หรือใช้คำว่า “Relieve” กุนซืออิตาเลียนออกจากทีม แม้จะเหลือสัญญาอยู่อีก 1 ซีซั่นก็ตาม

หลายคนมองเชื่อมไปที่ตัวเลข 1 ปี กับอีก 1 วันพอดี นับจากทีมชุดขาวชนะถ้วยแชมป์ยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ La Decima สมัยที่ 10 ให้กับทีม

แต่ส่วนตัวผมมองว่า คาร์โล โชคดีตั้งแต่ปีก่อน ที่ได้ประตูตีเสมอนาทีสุดท้ายจาก เซร์คิโอ รามอส จนสามารถต่อเวลาพิเศษและชนะแอตเลติโก มาดริด ได้สำเร็จ 3-1

หาไม่แล้ว อันเช่ และมาดริด น่าจะ “มือเปล่า” ตั้งแต่ฤดูกาลก่อนแล้วหาใช่ซีซั่นนี้

และกุนซือวัย 55 ปี ก็น่าจะอำลาทีมตั้งแต่ปีก่อนเช่นกันโดยไม่ต้องมานับ 1 ปี 1 วัน อะไรทั้งสิ้น!

ครับ สถิติยังบ่งบอกว่า อันเชล็อตติ เป็นกุนซือคนที่ 9 ในรอบ 12 ปี ของสโมสรที่ “แยกทาง” กัน จะด้วยเหตุผลไล่ออก หรือตกลงกันด้วยดี หรืออะไรก็แล้วแต่

ทว่า ความเป็นจริงก็คือ ผลงานไม่เข้าเป้า!!!

ถามว่า เรอัล มาดริด กับนโยบายต้องการความสำเร็จทุกปีผิดไหม?

ตอบ: ด้วยทรัพยากรมหาศาลที่ “สะสม” เป็นซูเปอร์ทีมขนาดนี้ อย่างน้อยๆ ทีมชุดขาวต้องมี 1 โทรฟี่ติดมือ และจำเป็นต้องได้ถ้วยยุโรป หรือลา ลีกา อย่างใดอย่างหนึ่งจึงจะถือว่า “เซฟตี้” สำหรับตัวกุนซือคนทำทีม

ท่านประธาน เปเรซ กล่าวว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากมากสำหรับบอร์ด แต่พวกเค้า (บอร์ด) ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาให้ตัดสินใจอะไรง่ายๆ และต้องเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมี “มุมมอง” ที่ว่า สโมสรแห่งนี้ (ทีมชุดขาว) ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด และคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งใหม่จะเป็นคำตอบสู่การกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง

ส่วนกุนซือคนใหม่ที่คาดว่าจะเป็น ราฟาเอล เบนิเตซ จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากทางสโมสรในสัปดาห์หน้า หรือไม่นานนับจากนี้

ครับ ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากนำเสนอมุมมองในด้าน “ไม่ยึดติด” และตัดสินใจเร็ว หากเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล

ประเด็นนี้ตรงกับเรื่องเมื่อวานที่ แกรี่ เนวิลล์ พยายาม “สะท้อน” ความเป็น Traditional หรือวัฒนธรรมที่ “อนุรักษ์” (Conservative) ของทีมลิเวอร์พูล

หงส์แดงจะไม่ค่อยเปลี่ยนอะไร เช่น กุนซือ ที่หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะได้รับ “โอกาส” ทำทีมจนต่ำสุดๆ ไปเลย

และประเด็นนี้ “กำลังแรง” ที่สุดในเกาะอังกฤษ และกำลังบีบทั้ง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และผู้บริหารของ FSG หรือ Fenway Sports Group ให้เลือกทำอะไรสักอย่าง

แม้ล่าสุดประธาน FSG ไมค์ กอร์ดอน จะยังยืนยัน 150% สนับสนุนร็อดเจอร์ส ต่อไปก็ตาม

ทว่า การออกแบ็กอัพ ยิ่งทำให้ความกดดันตกไปสู่ FSG ว่าทำอะไรกันอยู่?

และยิ่งมี “กรณีเปรียบเทียบ” เช่น เรอัล มาดริด ให้ได้เห็น ประกอบกับการจบซีซั่นไม่สวย สถานการณ์ ณ แอนฟิลด์ จึงน่าจับตามองมากๆ ครับ

เช่นกัน “ภาพรวม” ในเรื่องการบริหารจัดการนอกจากเรื่องตัวกุนซือข้างต้นแล้ว นโยบายการซื้อนักเตะ “เน้น” ระดับกลางๆ เช่นปีก่อน 113 ล้านปอนด์ มาสร้าง

กำลังถูกเล็งเป้าอย่างมาก เพราะทำให้ทีมตอนนี้กลายเป็นทีมกลางๆ ตามระดับนักเตะที่ซื้อมา

ความเป็นไปได้ที่จะมีตัวผู้เล่น “แจ้งเกิด” นั้นมี แต่นักเตะดีๆ ดาวรุ่งเก่งๆ ทีมใหญ่กว่า เช่น เชลซี, แมนฯซิตี้, อาร์เซนอล, แมนฯยูไนเต็ด ก็ล้วนกวาดเข้าคลังแทบหมดแล้วมิใช่หรือ!?

ไม่นับว่า ทำไมไม่ “บาลานซ์” ซื้อระดับโลก 40-50 ล้านปอนด์ ใช้การได้เลยบ้างมาผสมกับตัวศักยภาพดีๆ เช่นที่ทำอยู่ แม้บางครั้งต้องจ่ายมากกว่า หรือทุ่มค่าเหนื่อยเยอะกว่า

เพราะหงส์แดงวันนี้ไม่ได้เปรี้ยงเหมือนในอดีตแล้วก็ตามที...

ครับ ลิเวอร์พูลอาจต้อง “เรียนรู้” และ “ปรับตัว” ครั้งใหญ่ เพราะโลกฟุตบอลทุกวันนี้มันโหดมากกว่าจะมาโลกสวย

เช่น ในสัญญาผู้จัดการทีมก็ต้องใส่ KPI ไปเลยว่า ต้องจบ “ท็อปโฟร์” ทำไม่ได้ก็ต้องไปแบบมือเปล่า (ด้วยซ้ำ) เป็นต้น

จะมาลอยหน้าลอยตาแบบนี้!? หรือสโมสรจะยังนิ่งอยู่เหมือนที่ผ่านมา แฟนๆ ก็ต้องร้องเพลงรอกันต่อไปครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook