“ฟีฟ่า” ในยุคที่ตกต่ำถึงขีดสุด

“ฟีฟ่า” ในยุคที่ตกต่ำถึงขีดสุด

“ฟีฟ่า” ในยุคที่ตกต่ำถึงขีดสุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่าได้มีคำสั่งแบน “เซ็ปป์ แบล็ตเตอร์” รักษาการตำแหน่งประธาน “มิเชล พลาตินี่” รองประธาน และ “เจอโรม วัลเค่” อดีตเลขาธิกาของฟีฟ่า เป็นเวลา 90 วัน

ขณะที่ “ซุง มุง-จุน” อดีตรองประธานฟีฟ่าชาวเกาหลีที่ประกาศตัวจะชิงตำแหน่งปรธานฟีฟ่าสมัยหน้าโดนแบนยาว 6 ปีพร้อมปรับเงินอีกด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มากในระดับโลกเลยทีเดียวซึ่งถึงตอนนี้หลายคนอาจจะไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ จากภาพลักษณ์ของ “ฟีฟ่า” ที่ถูกทำลายจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้

 แต่ที่เรื่องนี้มาเป็นข่าวใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีหลัง คงต้องยอมรับว่ามาจากเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทำให้คนเข้าถึงความจริงได้มากกว่าขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

ในรายการของ “เซปป์ แบล็กเตอร์” ที่ดำรงตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 1998 หรือ 17 ปี คือคนที่ถูกจับตามากที่สุดแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีหลักฐานของความผิด

การทุจริตคอรัปชั่นออกมาชัดเจนจนต้องจำนนต่อหลักฐาน แต่ก็ไม่เหลือความชอบธรรมใดๆเหลือแล้ว ถึงขั้น 3 ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของฟีฟ่าอย่าง “โคคา-โคล่า” “แม็คนัลด์” และ “วีซ่า” (บัตรเครดิต) ออกแถลงการณ์ร่วมกันกดดันให้คุณปู่ชาวสวิตรายนี้ออกจากตำแหน่งไปซะ

 ถ้าให้ไล่ข้อกล่าวหาของปู่เซปป์มีมากเหลือเกินไม่ว่าจะเป็น ความไม่ชอบมาพากลในการเลือกตั้งเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2022 ที่ “กาตาร์” ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ

คดีเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลรายกต่างๆของฟีฟ่าไม่ใช่แค่ฟุตบอลโลกแต่ฟุตบอลระดับภูมิภาคอย่างฟุตบอลรอบคัดเลือกในทวีปต่างๆของฟีฟ่า จนกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งสาวยิ่งเห็นจำเลยและผู้กระทำผิดมากขึ้นเรื่อย รวมถึงเรื่องอื่นๆ

อย่างไรก็ตามทางด้านทนายของเซปป์ก็ออกแถลงการณ์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาว่าไม่ทราบเรื่องที่ถูกแบนแต่อย่างใด และพยายามดึงเชงให้มีการพูดคุยกันก่อนอีกครั้งก่อนที่จะแบนหรือดำเนินการสอบสวนทางวินัย

ส่วน “มิเชล พลาตินี่” อดีตนโปเลียนลูกหนังชาวฝรั่งเศสที่สวมหมวกประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปหรือยูฟ่าอีกใบกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

ถ้าจำกันได้เจ้าตัวคือคนที่ออกมากดดันปู่เซปป์อย่างหนักก่อหน้านี้ แต่ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเงิน 2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐที่ปู่เซปป์จ่ายให้แบบไม่มีที่มาระหว่างปี 1998-2002 ที่ทำงานในฟีฟ่า  

ขณะที่ “เจอโรม วัลเค่” อดีตเลขาธิการของฟีฟ่าในยุคของปู่เซปป์ ก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้จนเป็นจำเลยอีกคนและต้องถูกสอบสวนพร้อมกับคนอื่นจากคณะกรรมการทางด้านวินัยของฟีฟ่าเอง

หลายครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในฟีฟ่ามักไม่เป็นที่รับรู้ของผู้คนหรือสื่อเท่าไหร่เพราะมักจะเป็นการประชุมแบบปิดมาแต่ไหนแต่ไร ไม่อนุญาตให้แม้กระทั่งนักข่าวเข้าไป

 เว้นแต่ประชุมเสร็จค่อยออกแถลงการณ์ ถ้าคิดในแง่ร้ายสุดๆก็เหมือนกลุ่มคนจากที่ต่างๆมานั่งเจรจาผลประโยชน์ต่างๆที่อาจจะชอบมาพากลหรือไม่ชอบในรูปแบบขององค์กรสากลอย่างฟีฟ่า

ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีเรื่องของการถูกสอบสวนและแบนมากมายของบุคคลระดับบิ๊กที่เกี่ยวข้องกับองค์กรแห่งนี้ นับตั้งแต่ “เจา ฮาเวลาส” อดีตประธานฟีฟ่าที่ถูกสอบสวนหลังลงจากตำแหน่งจนถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์

จนถึง “แจ็ก วอร์เนอร์” อดีตประธานสหพันธ์ฟุตบอลแคริเบียน “โมฮัมเหม็ด บิน ฮัมมัม” อดีตรองประธานฟีฟ่าที่เคยคิดชิงตำแหน่งฟีฟ่ากับปู่เซปป์ รวมทั้งรายสุด “ซุง จุง-มุง” อดีตรองประธานฟีฟ่าที่สมัครชิงตำแหน่งในคราวนี้

ที่สำคัญถ้าตอนนี้ที่ปู่เซปป์ถูกแบน คนที่ทำหน้าที่แทนคือ “อิซา ฮายาตู” คณะกรรมการลูกหนังฟีฟ่าที่มีตำแหน่งประธานสหพันธ์ลูกหนังแอฟริกาซึ่งเจ้าตัวก็มีมลทินในอดีตถูกกล่าวหาว่าคอรัปชั่นเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในช่วงยุค 90 และรับเงินจากบริษัทที่ได้รับลิขสิทธิ์

ดูแล้วน่าหนักใจแทนองค์กรกีฬาที่เรียกได้ว่ามีอำนาจและเงินตรามากที่สุดในโลกแห่งนี้ที่นับวันจะตกต่ำลงจนถึงขีดสุด เพราะไม่ว่าใครที่เข้ามาคนหน้าเก่าที่ถูกจับหรือคนหน้าใหม่ก็ล้วนแล้วแต่มี “มลทิน” ติดตัวเข้ามาทั้งสิ้นครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook