"วันของหนุ่มเชส"
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงธันวาคมปีก่อน ภายหลังการบุกเจ๊าสเปอร์ส 0-0 สถานการณ์ของ โฆเซ่ มูรินโญ่ ณ แสตมฟอร์ด บริดจ์ ช่างมึดครึ้ม
ทีม “สิงห์บลูส์” เก็บชัยชนะได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นตลอด 5 เกมหลังสุด จากแชมป์เก่าเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา น่าเหลือเชื่อครับว่า กับซีซั่นนี้ทีมดังจากลอนดอนจะเป๋ และ ออกลูกเซ ราวกับ ‘คนละทีม’
อย่างไรก็ดีแม้จะทำได้แค่เสมอไก่เดือยทองแบบจืดชืด พร้อมบรรจงถีบตนเองร่วงโรยไปอยู่โซนท้ายตาราง
กระนั้นหลายฝ่ายก็ยังมองโลกในแง่ดีครับว่า ในเกมถัดไปที่จะต้องกลับมาเปิดบ้านพบกับบอร์นมัธ เชลซีที่ขุมกำลังสุดแกร่งจะสามารถกู้ศรัทธากลับมาแล้วเข้าวินอีกครั้งได้
แต่ขึ้นชื่อว่า ลูกกลมกลมย่อมไม่มีอะไรแน่นอน จากที่เป็นต่อแล้วน่าจะไล่ถลุงน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ได้ง่ายๆกลับกลายเป็นว่า ประตูโทนในช่วงท้ายเกมของ เกล็น เมอร์เรย์ กลับปิดชีพสิงโตตัวนี้ให้ตายสนิทชนิดศิษย์ยังต้องส่ายหน้า
กลายเป็นบอร์นมัธที่สามารถบุกมาปราบเชลซี 1-0 ได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่ "ตกเป็นรองสุดกู่" ก่อนเกม
ผลพวงจากแมตช์นั้นทำเอาสื่อผู้ดีหลายสำนักแทบไม่อยากเชื่อสายตาพร้อมกับยกให้แมตช์นี้สุดตื่นเต้นราวกับ “David Vs Goliath”หรือ แจ็คผู้ฆ่ายักษ์
บอร์นมัธทีมที่เพิ่งขึ้นชั้นสู่ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ กลับสามารถบุกมาล้มบัลลังก์แชมป์เก่าอย่างเชลซีได้
นี่คือเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ‘ไม่ต่างกับนิยาย’
แต่ในขณะที่นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่คือ “เดอะ เชอร์รี่ย์” ข้ามไปที่ถิ่น แสตมฟอร์ด บริดจ์ การปราชัยในครั้งนี้คือสิ่งที่น่าอับอายที่ว่ากันว่า มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
เชลซีที่สุดแสนจะเกรียงไกรเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา บัดนี้กลับพลาดท่าไร้แต้มกับทีมอย่างบอร์นมัธ สำหรับสาวก “สิงห์บลูส์” แล้วความรู้สึกของพวกเขาไม่ต่างกับ ‘ถูกลูบคม’
หลังเกมในวันนั้น กระแสต่างถาโถมเข้ามาโจมตีลูกทีมของ โฆเซ่ มูรินโญ่ อย่างหนัก สื่อหลายสำนักต่างตั้งคำถามถึงความทะเยอทะยาน และ สภาวะสิ้นมนต์ขลัง ของ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกสถูกจวบยับอย่างหนักกับแท็คติกเดิมๆที่สุดเบื่อหน่าย
แล้วผลพวงจากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ก็แผลงฤทธิ์
ให้หลัง 2 สัปดาห์ .. มูรินโญ่ ก็ถูก ‘อัปเปหิ’ พร้อมลาจาก ‘แสตมฟอร์ด บริดจ์’ อย่างเป็นทางการ
แน่นอนครับว่า ความพ่ายแพ้ในเกมกับเลสเตอร์ซึ่งกำลังฟอร์มแรกคือฟางเส้นท้ายระหว่าง “เดอะ สเปเชี่ยลวัน” กับทีม ทว่านั่นก็แค่ปลายเหตุ
ความจริงแล้วความพ่ายแพ้ต่อน้องใหม่อย่างบอร์นมัธต่างหากที่คือจุดเริ่มต้น ‘ของความพินาศ’
กระทั่งเชส ฟาเบรกาส ยังออกมายอมรับว่า บาดแผลของการปราชัยในครั้งนั้นยังคงอยู่ในใจ นั่นคือหนึ่งในเกมที่เขารู้สึกว่า ตนเอง “เล่นแย่สุด” ในฤดูกาล
หลังจากเกมนั้นมิดฟิลด์ทีมชาติสเปนรู้สึกขาดความมั่นใจ และ ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน ในคืนหลังเกมช่วงระหว่างนอนเจ้าตัวถึงกับนอนไม่หลับพร้อมปรึกษากับภรรยาข้างกายถึง
“Confidence” ที่ขาดหาย
เชสบอกครับว่า ในเกมนั้นยามเมื่อได้บอล ตนเองไม่รู้แม้กระทั่งว่า จะต้องทำอย่างไรกับลูกกลมกลมเพื่อให้จ่ายบอลเข้าเป้าเหมือนดั่งเคย
กาลเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ 4 เดือนให้หลังบัดนี้ เชส ฟาเบรกาส ลบล้างฝันร้ายสำเร็จแล้ว
ชัยชนะ 4-1 เหนือบอร์นมัธเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ทีม “เดอะ บลูส์” กลับมาเก็บชัยชนะได้อีกครั้งในรอบ 3 เกมหลังพ่ายมา 2 แมตช์ติด แม้จะหมดลุ้นไปแล้วในทุกรายการ ทว่าผลจากชัยชนะล่าสุดก็ทำให้อย่างน้อยๆเชลซีขยับขึ้นไปติดท็อป 9 อย่างที่ควรจะเป็น
กับเกมนี้ในที่สุด เอแด็น อาซาร์ ก็จัดการคืนฟอร์มเก่งพร้อมกดไป 2 อันเป็นการซัลโวในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ได้เสียที
จากอดีตดาวเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอเมื่อซีซั่นที่แล้ว กาลเวลาผ่านไปในฤดูกาลนี้ปีกทีมชาติเบลเยี่ยมต้องเผชิญกับมรสุมอย่างหนัก บ้างก็ว่าเจ้าตัวขาดความทะเยอทะยาน บ้างก็ว่าเจ้าตัวอยู่ในช่วงขาลง
แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด กับแมตช์ล่าสุดนี้ ฟอร์มของ ‘อาซาร์’ เข้าขั้น ‘ไร้ที่ติ’
จังหวะวิ่งขึ้น-วิ่งลง พร้อมสอดส่องหาช่องโดยไม่ยืนรอบอลเหมือนดั่งเคย บ่งบอกให้เห็นว่า เอแด็น อาซาร์ ที่เคยเปรี้ยงปร้างเริ่มกลับมาขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่ว่าเจ้าตัวจะโดดเด่นเพียงใด ถึงยังไงแมตช์นี้ผู้ปิดทองหลังพระให้ทีมคือ ‘ฟาเบรกาส’ อย่างไม่ต้องสงสัย
อาซาร์อาจเป็นผู้ยิง แต่ เชส วันนี้คือพระเอกของงานพร้อมโชว์เทพแอสซิสต์ไป 3 ครั้ง โดยเฉพาะประตูแรกที่แทงทะลุช่องให้เปโดรหลุดไปแปอย่างงามหยดชนิดที่เกมรับเจ้าถิ่นได้แต่เยือนขาตาย
ไม่เพียงแต่จังหวะจ่ายหากแต่ตลอด 90 นาทีที่ยืนอยู่บนสังเวียน การสั่งการพร้อมสวมบทห้องเครื่องพาบอลขึ้นหน้าตลอดเวลาคือสิ่งที่เราไม่ได้เห็นจากเจ้าตัวมาเนิ่นนาน
นี่คือ “เชสคนเดิม” กับที่เราเคยรู้จัก มิใช่ “ฟาเบรกาส” ผู้ไร้ซึ่งประสิทธิภาพเหมือนดั่ง 3-4 เกมก่อน
ก็อาจจะใช่ครับที่ความพ่ายแพ้ยับเยินต่อ แมนฯ ซิตี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าโน้นมีผลทำให้นักเตะเชลซีกระปรี้ประเปร่าขึ้นกว่าเก่า แต่เชื่อผมเถอะ ..
ลึกๆแล้ว ความพ่ายแพ้ต่อบอร์นมัธในแมตช์เมื่อครั้งกระโน้น ‘ยังคงตามหลอกหลอน’ อยู่ในหัวใจ
นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำทีมต้องพินาศ ทำให้ความเชื่อมั่นที่เคยมีต้องพังทลาย ทำให้บัลลังก์ของ มูรินโญ่ ที่เคยเหนียวแน่นต้องกระเด้งจากเราไปในพริบตา
มาวันนี้พวกเขาลบล้าง “ฝันร้าย” สำเร็จ หากวันนั้นคือแมตช์ที่เชสบอกว่า ตนเองเล่นได้ย่ำแย่ที่สุดแห่งปี กับวันนี้ชัยชนะในเกมล่าสุดนี้ คือหนึ่งในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของเจ้าตัวในฤดูกาลอย่างไม่ต้องสงสัย
กับเกมกับบอร์นมัธเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เชลซีสามารถหาจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเจออีกครั้ง หลังจากลองผิด-ลองถูก พร้อมออกทะเลมาเนิ่นนาน
แม้บางทีกว่าจะคลำเป้าถูกจุดได้ ทุกอย่างที่เคยวาดฝัน จะ ‘สายเกินไป’ แล้วก็ตาม
ตุงตาข่าย
by มาสเตอร์ ริท