สกู๊ป : เหมือนมีดกรีดแทง “หมีไร้วาสนา”

สกู๊ป : เหมือนมีดกรีดแทง “หมีไร้วาสนา”

สกู๊ป : เหมือนมีดกรีดแทง “หมีไร้วาสนา”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผมเชื่อว่า มันเป็นความรู้สึกที่ “ยากยิ่ง” จริง ๆ ของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่, ผู้เล่น, แฟนบอล และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรแอตเลติโก้ มาดริด ทุกคนหลังแมตช์ชวดแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2016 ด้วยน้ำมือ “คู่ปรับ” ร่วมเมือง เรอัล มาดริด ในศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ ซานซีโร่ สเตเดี้ยม

เกมนี้ ผลการแข่งขันออกได้ “3 หน้า” ชนะ, เสมอ และแพ้ กับใครก็ได้ไม่ว่าจะลูกทีม ซิเนอดีน ซีดาน หรือดิเอโก้ ซิเมโอเน่ จากการคาดการณ์ก่อนเกม

ขณะที่ระหว่างเกม 120 นาทีก็แยกไม่ออกเช่นกันว่า “พระเจ้า” จะเลือกข้างใด? กระทั่งการชี้ชะตาต้องล่วงเข้าสู่การยิงจุดโทษที่อะไรก็เกิดขึ้นได้

และผลก็ปรากฎว่า ซิเมโอเน่ และลูกทีม คือ ฝ่าย “ไร้วาสนา” ชวดแชมป์ไปอีกครั้งแบบน่าสะเทือนใจในเกมที่มี “ตลกร้าย” อยู่พอประมาณ

ครับ ผมกำลังหมายถึง แอตฯมาดริด จบเกมนี้ด้วยสถิติครองบอล 53% เหนือกว่าเรอัล มาดริด แต่แพ้!

ต่างจาก 2 รอบที่ผ่านมากับ บาร์เซโลน่า และบาเยิร์น มิวนิค ที่เตะรวม 4 แมตช์เหย้า/เยือน และทั้ง 4 นัดครองบอลแค่ประมาณ 30%

แต่ชนะ!!!


ครึ่งแรกจบที่เปอร์เซนต์ครองบอลทีมตราหมี 52% อันแสดงให้เห็นว่า “โมเมนตัม” เริ่มจะสวิงมาแล้วตั้งแต่เสียประตูเร็วนาทีที่ 15 จากจังหวะจ่อยิงจากฟรีคิกของ แซร์โจ้ รามอส (ถูกเตือน 1 ครั้งก่อนหน้าจากฟรีคิกของ แกเร็ธ เบล แล้ว)

จังหวะดังกล่าว เป็นฟรีคิกเริ่มต้นจากฝั่งซ้ายของ โทนี่ โครส แล้วเข้าทาง เบล “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” หลายสำนักโหม่งเสยเข้ากลางไปจุดนัดพบกับรามอส
ภาพช้ามองได้ว่า รามอส อาจจะ “ล้ำหน้า” เล็กน้อย แต่รีเพลย์ก็มองได้เช่นกันว่า กัปตันทีมมาดริดเป็นคนที่ “กระหายที่สุด” ในการพุ่งเข้าหาลูกบอล

แอตฯมาดริด ใช้เวลาปรับจูนเครื่องเล็กน้อยก่อน กาบี้ กัปตันทีมซึ่งเป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ “ในใจ” ของผมจะพาลูกทีมจบครึ่งแรกแบบแข็งแกร่ง
ก่อนทุกอย่างจะเดินเครื่อง “เต็มสูบ” ในครึ่งหลังที่ ยานนิค คาร์ราสโก้ ลงสนามมาแทนมิดฟิลด์ตัวรับ ออกุสโต้ เฟอร์นันเดซ

ครึ่งหลัง ระบบการเล่นแอตฯมาดริด จึงปรับมาเป็น 4-3-3 โดยมีคาร์ราสโก้ ดาวเตะเบลเยียมเสริมแดนหน้าฝั่งซ้ายเติม เฟอร์นันโด ตอร์เรส และอองตวน กรีซมันน์ จากระบบเดิม 4-4-2

เพียง 2 นาที เปเป้ เข้าบอล “เสียเหลี่ยม” ให้ตอร์เรส บังได้จน มาร์ค แคลตเทนเบิร์ก เป่าโทษ

กรีซมันน์ รับหน้าที่สังหาร และก็พลาดเหมือนตอร์เรส ในรอบตัดเชือกกับบาเยิร์น มิวนิค

คำถาม ณ เวลาดังกล่าว คือ ทีมชุดนี้จะมี “คาแร็กเตอร์” ในการต่อสู้ต่อไปขนาดไหน?

ตอบได้ว่า: สู้ต่อไม่มีท้อจนมาได้ประตูตีเสมอนาทีที่ 79 จาก คาร์ราสโก้ ชาร์จเผาขนจากลูกเปิดของ ฮวน ฟราน ที่รับบอลทะลุมาจากกาบี้แบบสุดสวย

ฤาจะกลับตาลปัตรจากนัดชิงชนะเลิศ 2014 ที่ลิสบอน? ภาพ พร้อมคำถามตามมาทันทีจากหนนั้นที่ตราหมีนำก่อนโดนตีเสมอ 1-1 ช่วงทดเจ็บ และแพ้ต่อเวลา 1-4

จังหวะดังกล่าว ซีดานใช้ตัวสำรองหมดแล้ว 3 คน ขณะที่ซิเมโอเน่ เพิ่งใช้เพียงคนเดียว และนั่นหมายความว่าอีกประมาณ 40 นาทีที่เหลือ แอตเลติโก้ มาดริด น่าจะมี “พลัง” มากกว่า

ต่อเวลา เป็นตามสภาพครับ แม้ทีมชุดขาวจะดีขึ้น เนื่องจากตราหมีก็น่าจะต้องการกลับสู่ “โหมดเดิม” ในการเล่น นั่นคือ รับแล้วโต้ มากขึ้น หลัง “พยายาม” มากกว่ามาตลอดนับจากเสียประตู


ทว่า ทุกอย่างไม่เป็นใจ เฉพาะอย่างยิ่ง “จุดโทษ” ที่ดราม่าที่สุดตรง โรนัลโด้ ซึ่ง “เงียบ” ตลอดเกมกลับกลายเป็น “ฮีโร่” ยิงคนสุดท้ายพามาดริดซิวแชมป์สมัย 11

อันนำมาซึ่งความรู้สึกว่า “พระเจ้า” ได้เลือกข้างแชมป์ไว้แล้ว ณ จุดที่ “เดอะ การ์เดี้ยน” บรรยายได้ดีมากว่า หากครั้งแรกปี 2014 เหมือนตราหมีโดนมีดแทง ครั้งนี้ 2016 คือโดนแทงแล้ว “บิดมีด” ทะลวงไส้อยู่ด้านใน

มันคือความ “เจ็บลึก” บนความ “พยายาม” และ “กระหาย” มากกว่าในเกมที่เล่นไม่เป็นรองของ แอตเลติโก้ มาดริด แต่กลายเป็นความ “ว่างเปล่า”

เข้าชิงชนะเลิศ 3 ครั้ง: 1974 (บาเยิร์น มิวนิค), 2014 และ 2016 สู้ได้ถึงฎีกาทุกครั้ง แต่ก็ “ไร้วาสนา” ทุกครั้งเช่นกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook