สกู๊ป : "Brexit 2" จากพิษไอซ์แลนด์

สกู๊ป : "Brexit 2" จากพิษไอซ์แลนด์

สกู๊ป : "Brexit 2" จากพิษไอซ์แลนด์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ภาคแรกจบไป ยังไม่ทันหายตื่นเต้น ชาวเมืองผู้ดี๊ ผู้ดีก็สร้างภาคต่อเป็น เบรกซิต 2 ออกมาเขย่าขวัญสั่นประสาทอีกรอบทันที

หลังการลงเสียงประชามติที่เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้ สหราชอาณาจักร ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียูเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ทำให้เกิดเรื่องปั่นป่วนทั่วโลก

เพราะนอกจากภาคเศรษฐกิจของ อังกฤษจะเกิดภาวะสั่นสะเทือนในทันทีแล้ว ยังส่งผลไปถึงวงการกีฬาอีกมากมาย

ก่อนหน้านี้ได้มีการวิเคราะห์ให้เห็นจากสื่อมวลชนในเมืองผู้ดีหลายสำนัก ที่ต่างลงความเห็นว่าพรีเมียร์ลีกจะเจอปัญหาตั้งแต่ฤดูกาลหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในเรื่องของค่าตัว รวมถึงค่าเหนื่อยจะปรับตัวสูงขึ้น

เพราะค่าเงินปอนด์ลดลง แน่นอนว่าหลายสโมสรคงนำเข้านักเตะต่างชาติได้ยากกว่าเดิม และน่าจะหันมาเลือกใช้บริการพวกแข้งในประเทศเพิ่มมากขึ้น

แน่นอนว่ามันก็ทำให้ดาวรุ่งที่เคยโดนเมิน เริ่มมีคุณค่ามากขึ้น เพราะที่ผ่านมาอาจเข้าร่วมทีมตั้งแต่ 7-8 ขวบ แต่ส่วนหนึ่งถูกคัดออกเมื่อถึงวัย 16-17 ปี และแทบไม่เหลือให้เห็นในทีมชุดใหญ่เวลาพวกเขาอายุย่างเข้าหลักเลข 2 นำหน้า

ไม่ต้องแปลกใจหากว่าพรีเมียร์ลีกจะไม่เห็นด้วยกับการแยกออกจากอียู แต่ถึงตอนนี้จะทำอย่างไรได้ แม้ยังมีทุนมากมายจากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่แพงมหาศาล

แต่อนาคตอันใกล้มันกำลังกลายเป็นเงินเฟ้อซึ่งไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง สีสันของสโมสรเล็กจะค่อยๆลดลง ไม่มีอะไรที่น่าติดตาม

เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานเกินรอ ผลไม้มีพิษที่ชื่อ 'เบรกซิต' จะออกฤทธิ์ให้แฟนบอลในพรีเมียร์ลีกที่ออกเสียง "ลีฟ" ได้รู้สึกอย่างรุนแรง

และอนาคตผู้รู้วิธีเอาตัวรอดเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ "รีเมน" บนลีกสูงสุด ในสถานการณ์ที่ต่างจากตอนนี้แบบคนละเรื่อง

มันก็เป็นสถานการณ์ที่ผู้คนชาวอังกฤษ หรือแฟนบอลสิงโตคำรามอาจจะมองว่าความสำเร็จคือการขอแค่ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้นั้นก็ถือได้ว่าทีมของกุนซือ รอย ฮอดจ์สัน ทำได้ดีแล้ว

แต่ถ้ามองถึงเรื่องอื่นๆ โดยรวมแล้วการจะบอกว่านี่เป็นผลงานที่น่าผิดหวังก็คงไม่ผิดชัวร์ๆ 

มันรู้สึกไม่ดีที่ก่อนหน้านี้การอยู่ร่วมกลุ่มกับ เวลส์, รัสเซีย และ สโลวาเกีย ทำให้หลายคนมองว่า "สิงโตคำราม" คงจะเป็นแชมป์กลุ่มได้ไม่ยาก ถึงแม้จะต้องหืดจับเล็กร้อยก็ตาม

แต่สุดท้ายตำแหน่งดังกล่าวก็ตกเป็นของเพื่อนบ้านอย่างอย่างเวลส์เสียอย่างนั้น ที่นำมาโดย แกเร็ธ เบล และอารอน แรมซี่ย์

จริงอยู่ว่า อังกฤษ ชุดนี้อาจจะไม่ได้มีนักเตะชื่อดังมากพอกับยุคก่อนๆ และหากเทียบกันแบบตัวต่อตัวแล้วก็คงไม่มีใครสู้ เบล ได้แน่ๆ แต่ขุมกำลังโดยรวมของพวกเขาก็ยังดูดีกว่าเพื่อนร่วมกลุ่มอีก 3 ราย

และควรจะทำผลงานได้ดีกว่าการชนะ 1 เสมอ 2 ผิดเพี้ยนจนหล่นเป็นที่ 2 ของกล่มบี

คำถามคือ อะไรคือสิ่งที่ อังกฤษ ทำได้แย่ในการเล่นรอบแบ่งกลุ่ม นำพาซึ่งการตกรอบน็อกเอาต์ตั้งแต่ด่านแรก?

หลายคนคงตอบว่าเกมรุกชัดเจน เพราะด้วยความที่มีกองหน้าทั้ง เจมี่ วาร์ดี้, แฮร์รี่ เคน, ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, เวย์น รูนี่ย์ และมาร์คัส แรชฟอร์ด รวมถึงมิดฟิลดฺอย่าง เดเล่ อัลลี,เอริค ไดเออร์

หลายคนก็คาดหวังว่าพวกเขาจะทำประตูได้อย่างสบายๆ ไม่ใช่แค่ 3 ลูกจากการลงเล่น 3 นัด หรือก็คือเฉลี่ยแล้วทำได้แค่นัดละลูกเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เป็นเรื่องที่ย่ำแย่เกินคำบรรยาย

ในความเป็นจริงแล้ว อังกฤษ มีโอกาสทำประตูมากพอตัว โดยเฉพาะเกมสุดท้ายกับ สโลวาเกีย แต่พวกเขาดันยิงทิ้งยิงขว้างจนจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 นำไปสู่การได้ที่ 2

และต้องเจอกับไอซ์แลนด์แทนที่จะเป็นฮังการีหรือโปรตุเกส เพี้ยนไปจนสิงโตตายอนาถ

บางคนมองว่าเกมรุกของ อังกฤษ มีสไตล์เดียวเกินไป และมันก็ดูเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเมื่อโดนคู่แข่งจับทางได้หมด ทีมของ ฮอดจ์สัน ก็เจองานยากในการเจาะแนวรับของอีกฝ่ายแบบชัดเจน

ที่สำคัญกว่านั้นดูเหมือนว่า อังกฤษก็ไม่ได้มีแผนสำรองเอาไว้แก้สถานการณ์เวลาโดนคู่แข่งดักทางได้แล้วเลยแม้แต่น้อย ทำให้จำเป็นต้องพึ่งความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นแต่ละคนเป็นส่วนใหญ่ในการแก้สถานการณ์ที่ยากลำบาก

ซึ่งโอกาสสำเร็จก็อยู่ที่ 50-50 แบบทันที

ว่าแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นจริง ที่เราได้เห็นฟอร์มของสิงโตคำรามเสียงแหบๆ ก็ต้องดับแสงลงไปโดยปริยายเมื่อพ่ายแพ้ต่อไอซ์แลนด์ ทีมตระกูลสัน ที่เป็นทีมเล็กๆ ที่เก่งกาจ คายพิษสงให้รู้ว่าออกจากอียู ก็ออกจากยูโรไปด้วยเลย

บ๊ายบายอิงแลนด์ ดินแดนแห่งความวุ่นวาย เพราะไหน ๆ ก็เบรกซิตไปแล้ว ก็เบรกซิตในเรื่องของฟุตบอลยูโรไปเสียด้วยกับฟอร์มที่ไม่เอาไหนเป็นทุนเดิมตั้งแต่นัดแรกที่แดนน้ำหอม

ผมเชื่อว่าว่าแฟน ๆ สิงโต(ไม่)คำราม ก็คงไม่แปลกใจมากมายอยู่แล้ว!?

คอลัมน์ "ซอยสามัคคี"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook