วิถีกุนซือ = ของเล่นคนรวย?

ท่ามกลางใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของผู้คนฝรั่งเศส หลังบ้านเกิดกรุยทางสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย เขยิบเข้าใกล้การคว้าแชมป์ไปอีกขั้น อีกมุมของมหานครปารีส ชายคนหนึ่งอาจไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดากับผลการแข่งขันมากนัก

ใครคนนั้นคือ โลร็องต์ บล็องก์ กุนซือฝีมือฉกาจที่เพิ่งโดน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ลอบแทงข้างหลังด้วยการประกาศยกเลิกสัญญา ทั้งที่เพิ่งจับมือจูบปากฝากฝังชีวิตร่วมกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

นับตั้งแต่เข้ามารับงานต่อจาก คาร์โล อันเชล็อตติ เมื่อช่วงซัมเมอร์ 2013 บล็องก์ เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์มากมายร่วมกับสโมสร แต่ดูเหมือนว่าเพียงแค่แชมป์ในประเทศคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของบอร์ดบริหาร

อาจใช่ที่ นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี่ หัวเรือใหญ่กลุ่ม Qatar Sports Investments แสดงเจตจำนงตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร หวังนำยอดทีมแห่งกรุงปารีสก้าวไปเถลิงบัลลังก์แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สักครั้งในชีวิต

อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ปุบปับ เหล่าสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า หรือ เรอัล มาดริด ต่างรู้ดี ต่อให้เก่งกาจมากเพียงใด แต่ถ้าไม่มีตัวช่วยที่เรียกว่า “โชค” คงยากจะฝ่าฟันไปถึงจุดหมายที่วางไว้

กระนั้นดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่อยู่ในสายตาหรือสมองของ อัล-เคไลฟี่ แม้ บล็องก์ จะนำเปแอสเช กวาดแชมป์ 4 ใบ ภายในประเทศ แถมเกิดขึ้น 2 ปีติดต่อกัน แต่นั่นยังไม่พอต่อความต้องการของชายผู้มีอำนาจอยู่ในมือ

ตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา บล็องก์ ได้ชื่อว่าเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อนำทีมกวาดชัยได้ถึง 126 จาก 173 เกม หรือ 72.8 เปอร์เซ็นต์ เหนือกว่า อันเชล็อตติ ที่ได้ 63.6 เปอร์เซ็นต์ ชัดเจน

จากสถิติคว้าชัยดังกล่าว ทำให้ บล็องก์ นำเปแอสเช กวาดแชมป์บนผืนแผ่นดินฝรั่งเศสไปครองได้ถึง 11 จาก 12 รายการที่ลงทำการแข่งขัน เรียกว่ายุคของเขาจะหาใครมาเทียบรัศมีคงยากกว่างมเข็มในมหาสมุทร

แถมฤดูกาลที่ผ่านมา บล็องก์ ยังนำเปแอสเช คว้าแชมป์ลีก เอิง ตั้งแต่เกมที่ 30 ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน เช่นเดียวกับการจบซีซั่นด้วย 96 คะแนน สูงสุดบนหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังฝรั่งเศส

เท่านั้นไม่พอเขายังนำทีมประสบความปราชัยเพียง 2 เกม ตลอดฤดูกาล แถมกระหน่ำตาข่ายคู่แข่งไปกว่า 102 ลูก สูงที่สุดในรอบ 56 ปี ของวงการลูกหนังลีก เอิง

หากจะเอารายการยุโรปมาอ้าง บล็องก์ ก็มีสถิติชนะ 58.7 เปอร์เซ็นต์ จาก 40 เกม เป็นรองแค่ เป็ป กวาร์ดิโอล่า, หลุยส์ ฟาน ฮัล และ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทิศทางของเปแอสเช ภายใต้การกุมบังเหียนของบล็องก์ กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ใครคนนั้นอย่าง อัล-เคไลฟี่ ก็เห็น ถึงขนาดยอมมอบสัญญาฉบับใหม่ให้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

แต่แล้วการกระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก กลับทำให้อนาคตของบล็องก์ กลายเป็นประเด็นถกเถียงในห้องประชุมอีกครั้ง กอปรกับการผงาดคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก 3 สมัยติดต่อกัน ของเซบีญ่า นำมาสู่ฉากจบที่ใครหลายคนไม่คาดคิด

สัญญาณเตือนถึงแรงสั่นสะเทือนบนเก้าอี้กุนซือของบล็องก์ เริ่มต้นตั้งแต่ศึกยูโร 2016 ยังไม่เปิดฉากทำการแข่งขัน เมื่อ อูไน เอเมรี่ ประกาศอำลาตำแหน่งที่เซบีญ่า เพื่อมองหาความท้าทายครั้งใหม่ในอาชีพ

แน่นอนว่ากุนซือโปรไฟล์ดีอย่าง เอเมรี่ ย่อมตกเป็นข่าวกับหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป แต่การมีกระแสเชื่อมโยงกับเปแอสเช ถือว่าไม่ธรรมดา และค่อนข้างมีความเป็นไปได้สูง หากมองถึงจุดมุ่งหมายในการคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นทุนเดิม

สุดท้ายชะตาชีวิตของบล็องก์ ถึงคราวขาดหวิ่นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เมื่อ เปแอสเช ประกาศว่าพวกเขาจัดการยกเลิกสัญญากับกุนซือวัย 50 กะรัต เรียบร้อยแล้ว แถมเกิดขึ้นด้วยความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย (ก็มีเงินชดเชยให้ ใครมันจะไม่ยินยอม)

การประกาศครั้งนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า เอเมรี่ จะเข้ามารับหน้าที่กุนซือคนใหม่ของเปแอสเช จับมือจูบปากเดินหน้าสร้างฝันกันต่อ ปล่อยให้คนที่ถูกหลอกอย่างบล็องก์ ก้มหน้าเตะฝุ่นชนิดไม่สนใจใยดี ทั้งที่นี่คือชายผู้นำทีมคว้า 4 แชมป์

น่าสนใจว่าเหตุไฉน อัล-เคไลฟี่ ถึงเลือกฝากความหวังไว้กับ เอเมรี่ ชายผู้ซึ่งแทบไม่รู้จักวงการลูกหนังฝรั่งเศส แม้คร่ำหวอดในสเปน แต่การเดินทางออกนอกประเทศหนล่าสุด นี่คือคนที่โดนสปาร์ตัก มอสโก เด้งพ้นตำแหน่ง

คำถามที่ตามมาคือ บล็องก์ ล้มเหลวตรงไหน เมื่อซีซั่นก่อนเป็นครั้งแรกที่เปแอสเช ผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปได้ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ชัดเจน แถมยังเป็นกุนซือที่การันตีแชมป์ภายในประเทศชัวร์ๆ อยู่แล้ว

- ใช่ครับ ทุกคนไม่เข้าใจ
- บล็องก์เองก็คงไม่เข้าใจ
สิ่งเดียวที่เข้าใจได้คืออำนาจเงินทำให้คนเสียนิสัย พออะไรไม่ได้ดั่งใจก็เอาเงินฟาดหัว ทั้งที่ก็รู้ว่าจิตใจของคนเอามาตีเป็นราคาค่างวดไม่ได้ !!!