สกู๊ป : "ฝรั่งเศส" แพ้ภัยตัวเอง

สกู๊ป : "ฝรั่งเศส" แพ้ภัยตัวเอง

สกู๊ป : "ฝรั่งเศส" แพ้ภัยตัวเอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ขึ้นชื่อว่าฟุตบอลลูกกลมๆ มักมีอะไรให้เซอร์ไพรส์เสมอ ศึกยูโร 2016 ก็ไม่ต่างกัน เมื่อ โปรตุเกส สามารถรักษาตำนานเทพนิยายบนเวทีชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเอาไว้ได้สำเร็จ

ก่อนเริ่มเกมที่สต๊าด เดอ ฟรองช์ เจ้าภาพ ฝรั่งเศส ซึ่งยิ่งเล่นยิ่งทำผลงานร้อนแรง ถูกยกให้เป็นต่อโปรตุเกส ที่ฟอร์มกระท่อนกระแท่นตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม

แถมหลังสิ้นเสียงนกหวีดจาก มาร์ค เคล็ทเท่นเบิร์ก ผ่านพ้นไปเพียง 20 นาที สถานการณ์ของพวกเขายิ่งเป็นต่อมากขึ้นไปอีก เมื่อ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ หนึ่งเดียวผู้แบกภาระของโปรตุเกส มีอันต้องโดนหามออกจากสนาม

อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศส กลับปล่อยให้โอกาสที่จะเป็นผู้ชนะหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา เมื่อไม่อาจพังประตูชัยได้สำเร็จ แถมมาโดน เอแดร์ ซัดดับฝันในช่วงต่อเวลาพิเศษ นำ โปรตุเกส คว้าแชมป์ยูโร 2016 แบบช็อกโลก

คนแรกที่จะต้องรับผิดชอบกับความล้มเหลวในครั้งนี้ของขุนพล “ตราไก่” ย่อมหนีไม่พ้นชายที่ชื่อ ดิดิเยร์ เดส์ช็องป์ส ผู้ทำหน้าที่กุนซือและแบกความหวังของคนทั้งชาติไว้บนบ่า

ในฐานะนักเตะ เดส์ช็องป์ส อาจเป็นผู้เล่นที่มีจิตใจห้าวหาญ เป็นศูนย์รวมใจของเพื่อนร่วมทีมในฐานะกัปตัน ผู้ซึ่งเคยชูโทรฟี่ประวัติศาสตร์อย่างฟุตบอลโลก 1998 และยูโร 2000

ทว่าในฐานะกุนซือ เดส์ช็องป์ส แปรสภาพเป็นเต่าน้อยที่กลัวฝน พยายามหดหัวอยู่ในกระดอง แม้ในยามที่มีเพียงแค่เมฆครึ้มเข้าปกคุลม หาได้มีน้ำสักหยดร่วงหล่นจากท้องฟ้าไม่

การพยายามกำชับให้ลูกทีมเล่นอย่างรัดกุม ไม่ได้ก็ต้องไม่เสีย แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่พึงกระทำ แต่มันต้องไม่ใช่ในแมตช์ที่พวกเขากุมความได้เปรียบทั้งในแง่ตัวผู้เล่นและสภาพแวดล้อมแบบสุดโต่งเช่นนี้

ภาพที่เราได้เห็นจึงหาได้เป็นฝรั่งเศส ในแบบที่รุกดุดันใส่ไอซ์แลนด์ หรือโต้กลับเฉียบคมเหมือนเกมเบียดแชมป์โลก เยอรมัน หากแต่กลายเป็นเพียงทีมที่เน้นการครองบอลและไม่พยายามเพรสซิ่งใส่ โปรตุเกส ที่มาตั้งรับรอเผาเวลา

สุดท้ายภาพที่เราได้เห็นจึงเป็น “ตราไก่” ที่เล่นเก้ๆ กังๆ จะบุกก็ไม่ใช่ จะรับก็ไม่ชัวร์ จะครองบอลเพื่อพยายามหาช่องเจาะก็ไม่เชิง เป็นฟอร์มที่น่าอึดอัดลูกกะตาสำหรับแฟนบอลอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งต้องชม เฟร์นานโด ซานโต๊ส ด้วย บอกตามตรงผมไม่เคยคิดเลยว่าหมอนี่เป็นกุนซือที่ใช่สำหรับโปรตุเกส แต่ไปๆ มาๆ พาทีมเป็นแชมป์ยูโร 2016 หน้าตาเฉย จะว่าไปเกมนี้ ซานโต๊ส ก็ไม่ได้โชว์กึ๋นอะไรออกมามากนัก

แค่พยายามสั่งให้ลูกทีมเน้นตั้งรับ แล้วอาศัยตัวประสบการณ์เทคนิคดีๆ อย่าง หลุยส์ นานี่ กับ ริคาร์โด้ ควาเรสม่า คอยโต้กลับ โดยมีผึ้งงานอย่าง เจา มาริโอ สอดส่ายจากแถวสอง

แต่ความเขี้ยวที่สั่งให้ลูกทีมเน้นครองบอลให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด นำมาซึ่งความอึดอัดของฝรั่งเศส ก่อนจะส่งไพ่ตายอย่าง เอแดร์ ลงไปยื้อยุดชุดกระชากกับแนวรับเจ้าภาพที่กำลังอิดโรยในช่วง 10 นาทีสุดท้าย

ผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็น ฝรั่งเศสซึ่งพยายามบุกหนักเริ่มหมดสภาพในช่วงต่อเวลาพิเศษ พวกเขาแทบไม่เหลือแรงโหมเกมรุกเข้าใส่คู่แข่ง โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังเสียประตูขึ้นนำ

นี่จึงถือเป็นบทเรียนราคาแพงอย่างแรงสำหรับนักเตะฝรั่งเศสทุกคน รวมถึง เดส์ช็องป์ส ด้วย แม้ส่วนหนึ่งต้องโทษโชคชะตาที่นำพามาสู่จุดจบเช่นนี้ แต่ส่วนใหญ่พวกเขาต้องโทษตัวเอง และก้มหน้ายอมรับความผิดพลาดไป

อาจใช่ที่หากลูกโหม่งของ อ็องตวน กรีซมันน์ ต่ำกว่านี้อีกนิด พร้อมเสียบคานเข้าไป หรือลูกยิงของ อ็องเดร - ปิแอร์ ชีญัก ไม่ไปชนเสา พวกเขาน่าจะตีตราจองแชมป์ใบที่ 3 บนบ้านเกิดได้ไม่ยาก

แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นประจักษ์เต็มสองลูกกะตา คือความอ่อนด้อยของประสบการณ์ในเกมที่มีความหมายมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ ยิ่งเวลาบีบคั้น ความลนลานยิ่งเผยให้เห็นมากขึ้น

ซานโต๊ส เองมองเห็นถึงจุดนี้ดี นั่นคือเหตุผลที่เขากล้าเติม เอแดร์ ลงมาในช่วง 10 นาทีสุดท้าย แม้ว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อการเพลี่ยงพล้ำให้ฝรั่งเศส แต่โชคมักเข้าข้างผู้กล้าเสมอ

โปรตุเกส อาจเป็นแชมป์ที่ขี้เหร่ที่สุดในประวัติศาสตร์ศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป แต่ใครจะไปสนละ ในเมื่อลงท้ายพวกเขาก็คือแชมป์อยู่ดี แม้อาจไม่ใช่ทีมชุดที่ดีที่สุดก็เถอะ

ส่วน ฝรั่งเศส พวกเขาพลาดจารึกประวัติศาสตร์ครองแชมป์เมเจอร์หนที่ 3 บนแผ่นดินตัวเอง แต่ทีมชุดนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ายังสามารถต่อยอดในศึกใหญ่รายการอื่นได้อีกเยอะ

อยู่ที่ว่าวันนี้พวกเขาได้เรียนรู้น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ที่แซงต์-เดนีส์ มากน้อยเพียงใด และจะกลับมาแข็งแกร่งอย่างไรในอนาคต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook