“มูรินโญ่” แพ้ศึกแต่(ไม่)แพ้สงคราม

“มูรินโญ่” แพ้ศึกแต่(ไม่)แพ้สงคราม

“มูรินโญ่” แพ้ศึกแต่(ไม่)แพ้สงคราม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มาถึงตรงนี้ต้องยอมรับว่าสื่อในอังกฤษกำลังเล่นเรื่องประเด็นผลงานของ “โชเซ่ มูรินโญ่” กับ “แมนฯยูไนเต็ด” อย่างหนักเลยทีเดียว หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พาทีมบุกไปแพ้ทีมเก่าอย่าง “เชลซี” แบบหมดอาลัยตายอยากด้วยสกอร์ 0-4

โดยเฉพาะคำว่า “The Humiliated One” ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ “บุคคลผู้ถูกฉีกหน้า ลูบคม ดูหมิ่น” ซึ่งมาจากการที่ “อันโตนีโอ คอนเต้” นายใหญ่ของขุนพลสิงห์บลูแสดงความดีอกดีใจและกระตุ้นแฟนบอลให้ส่งเสียงเชียร์ในจังหวะที่ทีมได้ประตูนำ 4-0 ผู้สื่อข่าวอ้างว่า มูรินโญ่แสดงความไม่พอใจใส่คอนเต้หลังจบเกม ถ้าแปลตามอารมณ์ก็ประมาณว่า “อย่าเปรี้ยวให้มาก มันยังไม่จบ”

แน่นอนว่ากุนซือจอมอหังกาชาวฝอยทองคนนี้น่าจะเป็นกุนซือที่สื่อพร้อมใจกับจับตามองพร้อมเล่นข่าวได้ทุกเมื่อ นับตั้งแต่หลังยุคของ “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” ด้วยลักษณะเฉพาะตัวที่ทุกคนที่ดูบอลอังกฤษมายังไงก็รู้ว่าเป็นยังไง

ผลงานในลีก 3 นัดหลังสุดของขุนพลอสูรแดงถือว่า “น่าผิดหวัง” ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลย เริ่มจากเสมอ “สโต๊ค ซิตี้” คาบ้านตัวเอง 1-1 ก่อนที่จะบุกไปเสมอ “ลิเวอร์พูล” แบบน่าเบื่อเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว และล่าสุดโดนทีมเก่าของตัวเองยิงยับ 4 เม็ด ทำให้สถานกาณ์ของทีมเป็นรองทีมใหญ่ทุกทีม อยู่อันดับ 7 มี 14 คะแนน

อย่างไรก็ตามถ้าดูภาพในสนาม สิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเกมแดงเดือดที่ทำได้แค่เสมอ ถือว่าเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จนส่งให้เกมแดงเดือดล่าสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ไม่มีสกอร์ ด้วยการให้ลูกทีมเล่นเกมรับเอารถบัสเข้ามาขวางไว้

ส่วนเกมต่อมาที่แพ้ “เชลซี” ไม่มีข้ออ้างใดใด นอกจากยอมรับสภาพ ซึ่งถ้าได้ดูเกมนี้ สกอร์ 4-0 ก็ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย ครองบอลมากกว่า (56 ต่อ 44 เปอร์เซนต์) โอกาสยิงมากกว่า (11 ต่อ 6 ครั้ง) และภาพการเล่นทีมก็มีโอกาสหลายครั้ง แต่บรรดาแนวรุกกลับยิงไม่ได้เอง ทั้งๆที่รูปเกมตรงกลางสนามไม่ได้เสียเปรียบอะไรขนาดนั้น

แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างคือ “ความเฉียบคม” ของบรรดาแนวรุก ทั้ง “ซลาตัน อิบราฮิโมวิช” “เจสซี่ ลินการ์ด” “พอล ป็อกบา” กลับมานัดกันฟอร์มต ทั้งๆที่นักเตะเหล่านี้ ทำได้ทุกอย่างสร้างจังหวะ เลี้ยงไปเอง เพราะมีความเร็วอยู่แล้ว  แต่กลับมาทำอะไรปราการหลัง 3 คนของคู่แข่งอย่าง “แกรี่ เคฮิลล์” “ดาวิด หหลุยส์” และ “เซซ่าร์ อับปิริกวยต้า” ที่เล่นกันเป็นระบบ มากกว่าถึงจะหยุดกองหน้าแบบตัวต่อตัว

ขณะที่ “เชลซี” เอง เคยเขียนคอลัมน์สัปดาห์ที่แล้ว ว่า “คอนเต้” ให้ลูกทีมเน้นเกมรับไว้ก่อนแล้วคอยลุ้นทำประตูตามสไตล์ดั้งเดิมของฟุตบอลอังกฤษ “เล่นเกมรับ” “โยนยาว” ส่งไปข้างหน้าให้แนวรุกคอบเก็บกิน ซึ่งเหมาะกับทีมที่มีผู้เล่นในแนวรุกตัวสูงๆคอยเบียด

ส่วนตัวเชื่อว่าสถานการณ์ของ “มูรินโซ่” ไม่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากยังอยู่ในช่วงแรกของฤดูกาลกับทีมใหม่ และคะแนนตามทีมจ่าฝูงอย่าง “แมนฯซิตี้” แค่ 6 ะท่าานั้น เหลือเกมให้เล่นอีกหลายนัดดลากยาวไปถึงกลางปีหน้าเลยีเดียว ทำให้ยังไม่กล้าฟันธงว่าทีมไหนจะเป็นแชมป์

สุดท้ายผลเสมอกับหงส์เมื่อสัปดาห์แล้ว กับ ความพ่ายแพ้ต่อ “เชลซี” สัปดาห์นี้ อาจจะมองว่าชื่อของ “มูรินโญ่” เสื่อมมนต์ขลัง ไร้น้ำยา แต่ต้องอย่าลืมว่าแพ้แค่เกมเดียว เพิ่งจบ “ศึก” เดียวแต่ยังไม่จบ “สงคราม” ลีกฟุตบอลอังกฤษที่แสนยาวนานครับ

แบงค์ พิพัช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook