My Liverpool โดย..มาร์ค สุรเดช

My Liverpool โดย..มาร์ค สุรเดช

My Liverpool โดย..มาร์ค สุรเดช
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผลการแข่งขันในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะทำให้บรรดาแฟนบอลของทีม “หงส์แดง” จะทั้งเกรียน หรือ ไม่เกรียน ได้มีความสุขไปตามๆ กัน

แน่นอนว่าการเจอกับ อาร์เซนอล ครั้งใดนั้นไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นการบุกไปเก็บชัยชนะถึงรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ 3 คะแนนที่ได้มานี้ต่อเติมความมั่นใจให้กับทั้งทีม และแฟนบอลที่เอาใจช่วยอยู่ทั่วโลกยิ่งนัก   

ชัยชนะในเกมเมื่อวันเสาร์ นอกจากจะเป็นการล้างอาถรรพ์ที่ไม่สามารถบุกไปชนะทีม “ปืนใหญ่” ได้ถึงรังนับตั้งแต่ปี 2000 ถูกพังทลายลงไป ยิ่งกว่านั้นเรายังได้เห็นฟอร์มการเล่นที่ลงตัวมากขึ้นอีกนิด

ย้ำว่าอีกนิด ยังไม่ใช่ฟอร์มที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่านี่คือฟอร์มของทีมที่จะเป็นแชมป์ เพราะยังมีงานอีกหลายจุดให้ คิง เคนนี่ ได้ปรับแก้ไปเรื่อยๆ

หลายคนอาจจะทราบแล้วว่าในการเปิดให้แฟนบอลเข้ามาโหวตออนไลน์ทางเว็บไซต์ทางการของสโมสร หรือ www.liverpoolfc.tv สำหรับแมน ออฟ เดอะ แมตช์ หรือ นักเตะยอดเยี่ยมจากเกมกับ อาร์เซนอล

โดยผลที่ออกมาตำแหน่งนี้ตกเป็นของ โฆเซ่ เอ็นริเก้ แบ็กซ้ายเลือดสแปนิช ที่คว้ารางวัลไปครอง หลังจากขึ้นเติมเกมรุกได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกันก็ปิดพื้นที่ด้านข้างจน ธีโอ วัลค็อตต์ ไปไม่เป็นไปเลย หลังจากคุกคามแนวรับของ ลิเวอร์พูล ไปหลายหนเหมือนกันในช่วงต้นเกม

โดยจากผลโหวตของแฟนๆ เอ็นริเก้ ได้คะแนนไปถึง 32 เปอร์เซ็นต์ โดยมี หลุยส์ ซัวเรซ ตามมาเป็นอันดับสอง ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ และอันดับที่สามตกเป็นของอีกหนึ่งตัวสำรองในเกมดังกล่าวเช่นเดียวกับ ซัวเรซ ก็คือ ราอูล เมเรเลส โดยดาวเตะโปรตุกีส รับเสียงโหวตจากแฟนๆ ไปที่ 11 เปอร์เซ็นต์

ความพ่ายแพ้ 2 นัดท้ายในลีกเมื่อฤดูกาลก่อนจนทำให้ชวดโอกาสไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป กลายเป็นผลดีในความรู้สึกของ “เดอะ ค็อป” หลายๆ คน รวมทั้งตัวผมเองด้วย เพราะนั่นทำให้ ลิเวอร์พูล จะมีทีมที่ไม่กรอบจนเกินไปกับภารกิจที่รออยู่เฉพาะแค่ในประเทศของตัวเองนั้นก็มีอยู่ถึง 3 รายการอยู่แล้ว

โชคดีที่ แฟนเวย์ส กรุ๊ป ไม่ใช่เศรษฐีกำมะลอเหมือนอย่างคู่ดูโอ ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ จิลเล็ตต์ ที่กู้ได้กู้ดี จนทีมแทบจะถอยหลังลงคลองทั้งผลงาน และ ผลประกอบการ โชคยังเป็นของ ลิเวอร์พูล จริงๆ ที่รอดพ้นวิกฤติหนักๆ จากเมื่อปีที่แล้วมาได้ ทำให้สามารถตั้งลำได้ใหม่

และได้แต่ฝากความหวังไว้กับทั้งสมอง และ สองมือของ ดัลกลิช ว่า เขาจะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

เกมต่อไปของ “หงส์แดง” ก็คือ การกลับมาปักหลักในแอนฟิลด์ เพื่อรอเจอกับ โบลตัน ทีมที่ยิงประตูได้อย่างน่ากลัวในสองเกมที่ผ่านมา และมีสไตล์การเล่นที่บู๊ดุดันตามแบบของตัวกุนซือก็คือ โอเว่น คอยล์ อย่างไรก็ดี การได้เล่นในบ้านน่าจะทำให้ ลิเวอร์พูล มองไปถึง 3 คะแนนกันแน่ๆ อยู่แล้ว

เปิดฉากสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจปล่อยตัวผู้เล่นออกจากทีมไปเป็นรายล่าสุด นั่นก็คือ โซติริออส คีร์เกียกอส ปราการหลังจากกรีซ ที่ย้ายจากเออีเค เอเธนส์ มาอยู่กับทีมเมื่อปี 2009 โดยงานนี้ คีร์เกียกอส เลือกกลับไปค้าแข้งในเมืองเบียร์ หรือ เยอรมัน อีกครั้ง

โดยก่อนหน้านี้เขาเคยเล่นให้กับทีม “อินทรีแดงดำ” ไอน์ทรัคท์ แฟรงค์เฟิร์ต มาแล้วในระหว่างช่วงปี 2006-2008 โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ในรั้วแอนฟิลด์ คีร์เกียกอส ได้ลงสนามไปทั้งสิ้น 49 เกม และทำประตูเป็นตัวเลขได้ 3 ประตู

เชื่อว่าก่อนที่ตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ หรือ ช่วงแรกของฤดูกาล ที่กำลังจะปิดตัวในช่วงสิ้นเดือนนี้ ลิเวอร์พูล น่าจะได้ตัวปราการหลังโดยเฉพาะตัวกลางมาเสริมทีมอีกแน่นอน เพียงแต่จะเป็นใครเท่านั้น

จะใช่ ไรอัน ชอว์ครอสส์ กัปตันทีมของ สโต๊ค ซิตี้ อดีตเด็กฝึกหัดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือจะเป็น แกรี่ เคฮิลล์ กองหลังเนื้อหอมดีกรีทีมชาติอังกฤษมาจาก โบลตัน วันเดอเรอร์ส

แฟนๆ คงต้องอดใจ และ เอาใจเชียร์กันว่า ลิเวอร์พูล จะได้ใครระหว่าง 2 คนนี้ หรือว่าจะได้มาทั้ง 2 คนนี้ ซึ่งถ้าเป็นในแบบอย่างหลัง คงต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล จะมีแผงหลังที่แข็งแกร่งสุดๆ ทีมหนึ่งของลีกอย่างแน่นอน

ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล จะต้องมีโปรแกรมลงเตะในศึก คาร์ลิ่ง คัพ รอบ 2 โดยมีคู่แข่งนามว่า เอ็กเซเตอร์ ซิตี้ จะเล่นกันในช่วงกลางดึกบ้านเราของวันพุธที่ 24 สิงหาคมนี้ โดย ลิเวอร์พูล จะต้องยกพลไปเยือนในช่วงเวลาประมาณ 02.45 น.

โดยในปีที่แล้วในยุคที่ รอย ฮอดจ์สัน ยังคุมทีม ปู่รอย ก็ไม่สามารถจะพา เดอะ เร้ดส์ ไปได้ไกลกว่ารอบ 3 เมื่อตกรอบให้กับทีมรองบ่อนอย่าง นอร์ทแธมป์ตัน

ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ยังเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จในรายการนี้สูงสุด แม้จะไม่ใช่ถ้วยที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับ เอฟเอ คัพ หรือ แชมป์รายการอื่นๆ ในความรู้สึกของคนยุคปัจจุบัน

แต่หากถามใจแฟนยุคก่อน การได้เข้าเวมบลีย์ จะปีละกี่หน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุดเสมอ ใครจะว่าถ้วยนี้เป็น มิคกี้ เมาส์ คัพ ก็ช่างประไร ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ต้องการแชมป์มากำนัลแด่แฟนๆ เสมอ

ยิ่งไปกว่านั้นใน ลีก คัพ หรือ คาร์ลิ่ง คัพ ยังเป็นการแข่งขันกันเองระหว่าง 4 ดิวิชั่น ของฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจาก เอฟเอ คัพ ที่จะเอาทุกทีมที่ลงทะเบียนไว้กับเอฟเอ มาโม่แข้งกัน

สำหรับเกมนัดนี้ เล่นกันที่บ้านของ เอ็กเซเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีชื่อสนามว่า เซนต์ เจมส์ ปาร์ค (คนละอันกับที่เป็นสนามเหย้าของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด) ซึ่งจากสถิติในอดีตนั้น ลิเวอร์พูล เคยได้ดวลเกือกกับทีมจาก ลีก วัน ทีมนี้ในรายการนี้มาแล้วในปี 1981

ซึ่งตอนที่เจอกันในครานั้นก็เป็นการพบกันในรอบ 2 แบบเดียวกันนี้อีกด้วย จะแตกต่างกันก็ตรงที่ยุคนี้รอบ 2 ใช้ระบบการเตะแบบนัดเดียวรู้ผล ไม่มีเหย้า เยือน หากเสมอกันใน 90 นาที จะต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที และหากยังหาผู้ชนะกันไม่ได้ ก็ต้องว่ากันด้วยการดวลจุดโทษตัดสินแทน

การเจอกันนัดแรกเมื่อปี 1981 เล่นนัดแรกกันที่ แอนฟิลด์ ก่อน ปรากฏว่า “หงส์แดง” สยายปีกจัดการ เอ็กเซเตอร์ ไปแดดิ้นถึง 5-0 โดยได้ประตูจาก เอียน รัช (2), ดัลกลิช, แม็คเดอม็อตต์ และ รอนนี่ วีแลน ปิดท้าย

ส่วนเกมที่สองที่ต้องออกไปเยือน ลิเวอร์พูล ก็ยังเล่นได้เหนือชั้นกว่า โดยเอาชนะไปได้อีกจาก เอียน รัช เหมาสองอีกแล้ว, ดัลกลิช, ฟิล นีล, เควิน ชิดี้ และอีกประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของ นิคกี้ มาร์คเกอร์ ฉลุยเข้ารอบ 3 ก่อนที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ในบั้นปลาย

ปีที่แล้ว เบอร์มิงแฮม ซิตี้ คว้าแชมป์แรกในรอบเกือบ 50 ปี และแม้ว่าจะตกชั้นแต่เชื่อว่าลึกๆ แฟนบอล “บรัมมีส์” ก็คงจะหลั่งน้ำตาแบบปนความสุขว่ายังไงถึงจะต้องตกชั้น แต่พวกเขาก็ได้แชมป์มาครอง และทำให้พวกเขาได้สิทธิไปเล่นในถ้วยยูโรป้า ลีก ในปีนี้อีกด้วย

ก่อนจะจากกันในวันนี้ มีข่าวลือเกี่ยวกับการดึงตัวผู้เล่นใหม่มาเสริมทีม และนักเตะบางคนของทีมที่อาจจะตกเป็นเป้าสนใจของทีมอื่น เริ่มกันที่ เดิร์ค เคาท์ กองหน้าจอมขยันที่ก้าวเข้ามาอยู่กลางใจของ เดอะ ค็อป ด้วยความทุ่มเท ใช้ฝีเท้าแสดงแทนคำพูด ล่าสุดเป็น อินเตอร์ มิลาน แห่ง อิตาลี ที่แบะท่าอยากได้ตัวดาวเตะทีมชาติฮอลแลนด์รายนี้ไปเสริมทีม

ดูจากกระแสที่เกิดขึ้นแล้ว เคาท์ น่าจะยังรักและให้ใจกับแฟนๆ ของ ลิเวอร์พูล เหมือนเดิม คงขึ้นอยู่กับทางสโมสรว่าจะคิดเห็นกับการณ์นี้ว่าอย่างไร

ในส่วนของผู้เล่นเกมรับที่มีข่าวพัวพันอยู่กับ ไรอัน ชอว์ครอสส์ และ แกรี่ เคฮิลล์ แล้ว อีกคนหนึ่งที่ตกเป็นข่าวมาต่อเนื่องเช่นกันก็คือ สก็อตต์ แดน จาก เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ซึ่งคาดว่าค่าตัวของปราการหลังผู้นี้อยู่ที่ประมาณ 8 ล้านปอนด์

เรียกได้ว่าแนวทางการทำทีมของ คิง เคนนี่ ค่อนข้างจะนิยมของใน หรือ นอกสหราชอาณาจักร มากกว่าการไปดึงผู้เล่นมีชื่อจากยุโรป แต่ไม่สามารถจะปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลอังกฤษแท้ๆ ได้

ซึ่งถ้าหากเราดูจากตำนาน และประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล แล้ว จะเห็นว่ากองหลังที่ประสบความสำเร็จกับทีม ส่วนใหญ่ หรือแทบทั้งหมดล้วนเป็นกองหลังที่เป็นสายเลือดฟุตบอลอังกฤษแท้ๆ เสียมากกว่า ไล่ตั้งแต่ยุค 50 ซึ่งมีจอมคนจากสกอตต์อย่าง บิลลี่ ลิดเดลล์ หรือจะยุคต่อมาที่มี ฮาร์ดแมนกระดูกเหล็กอย่าง ทอมมี่ สมิธ ไล่มาจนถึง รอน ยีสต์, เอมลีน ฮิวจ์ส, ฟิล ธอมป์สัน, อลัน แฮนเซ่น, มาร์ค ลอว์เรนสัน ฯลฯ

การที่ ลิเวอร์พูล จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนในฤดูกาลนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะมองเห็นได้ แต่ขอให้ทุกคนเชื่อว่า เคนนี่ ดัลกลิช ได้ปรับ แก้ และวางโครงสร้างที่แข็งแกร่งไว้ให้กับทีมแล้ว

ขึ้นอยู่กับนักเตะและกำลังใจจากแฟนๆ ว่าจะรวมพลังกันจนทำให้ตำแหน่งแชมป์ลีกสมัยที่ 19 มาอยู่ที่แอนฟิลด์เมื่อจบฤดูกาลนี้ได้หรือไม่ ที่แน่ๆ ก็คือทุกๆ วันคุณไม่มีวันเดินเดียวดายแน่นอนครับ

ไม่ว่าจะดีหรือล้มเหลว ท้อแท้ หรือ ผิดหวัง แค่ไหนก็ตาม

เรื่องโดย "มาร์ค สุรเดช"

ขอบคุณเนื้อหาจากคอลัมน์ My liverpool

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook