‘ลุงเบิร์ก’ซามูไรสายพันธุ์ไวกิ้ง โดย..Julilme
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ฉบับนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่คอลัมน์ “ที่นี่เอเชีย” จะถือกำเนิดขึ้น ซึ่งพื้นที่ตรงนี้จะเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนของคนกีฬา “ฮอตสกอร์” ที่จะรวบรวมแง่มุมน่าสนใจและแปลกใหม่ของวงการลูกหนังเอเชียมาให้เพื่อนพ้องน้องพี่ได้ทัศนา
โดยฉบับนี้ เราจะนำทุกท่านมาพบกับสุภาพบุรุษลูกหนังรายหนึ่ง ที่ข้ามฟากจากยุโรปมาโชว์เพลงแข้งบนเวที เจลีก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งดาวเตะที่เข้ามาสร้างสีสันให้วงการฟุตบอลเอเชียได้ไม่น้อย หลังมีบรรดาพ่อค้าแข้งตัวเอ้พาเหรดเข้ามาตลอดช่วงซัมเมอร์นี้
เฟรดริก ลุงเบิร์ก ชื่อนี้เหล่าคอบอลและสาวก อาร์เซน่อล คงคุ้นเคยดี เพราะถือเป็นดาวเตะคนหนึ่งที่บรรเลงเพลงแข้งได้เอกอุในยุคมิลเลนเนียม ซึ่งหลายท่านอาจจะคิดว่าเขาเลิกเล่นไปแล้วด้วยซ้ำ หลังข่าวคราวเงียบหายไปนาน แต่ล่าสุด เจ้าตัวตัดสินใจเซ็นสัญญา 6 เดือนเข้าร่วมทัพ ชิมิสุ เอสพัลส์ อดีตแชมป์เอเชี่ยน คัพ เมื่อปี 2000
หากมองย้อนกลับไป เส้นทางของอดีตนายแบบชุดชั้นในบุรุษเพศ “เคลวิน ไคลน์” น่าสนใจไม่น้อย เมื่อเลือกทิ้งอนาคตทางด้านเศรษฐศาสตร์ มามุ่งมั่นตามหาความฝันบนผืนหญ้ากับ ฮาล์มสตัด หนึ่งในทีมชั้นนำของลีกสูงสุดสวีเดนที่เขาบ่มเพาะฝีเท้ามาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถเกินเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
หลังพัฒนาฝีเท้าอยู่นาน ลุงเบิร์ก ในวัย 20 กะรัต ก็ได้รับโอกาสลงสนามนัดแรกให้ ฮาล์มสตัด ในเกมกับ เอไอเค เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 1994 ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลัก และลงสนามไปกว่า 139 นัด
ตลอดระยะเวลา 4 ปี จนได้รับความสนใจจาก บาร์เซโลน่า, ปาร์ม่า, อาร์เซน่อล, เชลซี และ แอสตัน วิลล่า แต่สุดท้ายเป็น “ปืนใหญ่” ที่ทุ่มเงิน 3 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดของนักเตะ “ไวกิ้ง” ณ เวลานั้น คว้าตัวไปร่วมทีม หลังประทับใจผลงานของเขาในเกมที่ช่วย สวีเดน คว่ำ อังกฤษ
ชีวิตของ ลุงเบิร์ก ใน ลอนดอน ส่องประกายเจิดจรัสทันที หลังลุกจากม้านั่งสำรองมากะซวกตาข่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมประเดิมสนาม และกลายเป็นกำลังสำคัญที่นำทีมคว้าแชมป์มาประดับถิ่น ไฮบิวรี่ ได้มากมายตลอดระยะเวลา 9 ปี รวมถึงเป็นหนึ่งในขุนพลชุดไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2003/04 ก่อนย้ายไปร่วมทัพ เวสต์แฮม เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บยังคงตามหลอกหลอน ลุงเบิร์ก จนต้องประกาศเลิกเล่นให้ สวีเดน หลังจบศึกยูโร 2008 และยกเลิกสัญญากับ “ขุนค้อน” ทั้งที่ลงสนามไปเพียง 25 นัด โดยเจ้าตัวกล่าวว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดต่อทั้งสองฝ่าย
แต่หาใช่ว่าอาชีพพ่อค้าแข้งของ ลุงเบิร์ก ได้ปิดฉากลงเหมือนที่แฟนบอลคาดคิด เมื่อเจ้าตัวกลับบ้านเกิดไปเรียกความฟิต ก่อนจะปฏิเสธข้อเสนอของหลายสโมสรทั่วยุโรป และเลือก ซีแอตเติล ซาวน์เดอร์ส ในเมเจอร์ลีก อเมริกา เป็นที่พักพิงแห่งใหม่
ที่อเมริกา ลุงเบิร์ก กลับมาเจิดจรัสและได้รับการจับตามองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เดวิด เบ็คแฮม แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เมื่ออาการบาดเจ็บเรื้อรังที่สะโพกตามมารบกวนเขาอีกครั้ง แม้คราวนี้จะเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง
แต่สุดท้ายก็โดน ชิคาโก ไฟร์ เทรดตัวไปเสริมทัพในอีกหนึ่งปีให้หลัง และข้ามฟากมาค้าแข้งกับ เซลติก เมื่อฤดูกาลก่อน โดยได้รับโอกาสลงสนามทั้งสิ้น 7 นัด ก่อนจะตัดสินใจเดินทางมาสัมผัสลูกหนังเอเชียเป็นเวลา 6 เดือน กับ ชิมิสุ เอสพัลส์ เมื่อ 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา
อาจฟังดูน่าเศร้ากับชีวีตบนฟลอร์หญ้าของ ดาวเตะวัย 34 ปี แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าเจ้าตัวคงไม่เสียใจแม้แต่น้อย และยังมุ่งมั่นยืดอายุการค้าแข้งให้นานที่สุด ซึ่งชายผู้นี้จะเรียกเสียงฮือฮาจากชาวซามูไร ได้เหมือน ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ อดีตหัวหอก ลิเวอร์พูล ของ เมืองทอง ยูไนเต็ด หรือไม่ “ฮอตสกอร์” จะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปแน่นอนครับ
เรื่องโดย "Julilme"
ขอบคุณเนื้อหาจากคอลัมน์ที่นี่เอเชีย นสพ.กีฬาฮอตสกอร์