ลูกกรอกคะนองผยองเดช โดย..บี แหลมสิงห์

ลูกกรอกคะนองผยองเดช โดย..บี แหลมสิงห์

ลูกกรอกคะนองผยองเดช โดย..บี แหลมสิงห์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากจบเกมพรีเมียร์ลีกวันเสาร์!
           
บรรดาทีมหัวตารางต่างกวาด 3 คะแนนมาครองได้ทั้งหมด ยกเว้น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่พลาดท่าบุกไปแพ้ สโต๊ค ซิตี้ แบบน่าเสียดาย 0-1
           
ทำไมถึงใช้คำว่า “น่าเสียดาย”
           
ไม่ใช่ว่าจะแพ้ด้วยการเสียจุดโทษ หรือว่าการพลาดการได้จุดโทษถึงสองครั้ง แต่มันมาจากรูปเกมที่ต้องบอกว่า บุกใส่ข้างเดียว
           
โอกาสยิงกว่า 20 ครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้ เท่ากับว่ามันไม่มีประโยชน์
           
จริงอยู่ที่ฟุตบอลอาจจะมีคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่วันของเรา” หรือ “ไม่ได้พกดวงมา” แต่มันน่าสนใจว่า เคนนี่ ดัลกลิช เลือกที่จะเล่นบอลอยู่แค่ “มิติเดียว”
           
สไตล์การเล่นที่ยอดฮิตก็คือ ทำไมชอบจับคนถนัดซ้ายมาเล่นทางขวา แล้วให้คนถนัดขวามาเล่นทางซ้าย ถือว่าไม่แปลก
           
แต่มันใช้ไม่ได้ทุกเกม
           
สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง สลัดหนีแทบจะไม่ออก อาจจะมีจังหวะเปิดแต่มันไม่ใช่ของถนัด เห็นได้ชัดว่า ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ดาวนิ่ง ก็เปิดไซด์ก้อยด้วยซ้าย ทั้งที่เหลี่ยมนั้นถ้าหากถนัดขวาได้ลุ้นกว่าเห็นๆ
           
ที่สำคัญ ลิเวอร์พูล ตกเป็นฝ่ายตามหลังครั้งแรกของปีนี้ แล้วก็แพ้ไปเลย
           
แต่เมื่อข้ามฟากมามองถึง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ต้องบอกว่า เคยเป็นลูกไล่ของ ดัลกลิช เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ตอนนี้เดินข้ามผ่านจุดต่างๆ ไปไกลกว่ามากมาย
           
ชัยชนะถล่มทลายอีกนัด ด้วยการใช้โอกาสที่ไม่เปลือง
           
พร้อมกับมีสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย
           
พวกเขาทำสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก ด้วยการถล่มประตู 4 นัดแรกได้มากที่สุด 18 ประตู ทำลายสถิติเดิมที่เพิ่งทำได้ในปีที่แล้วของ เชลซี ไปอย่างสิ้นเชิง
           
เวย์น รูนี่ย์ ทำแฮตทริกได้เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน และยิงได้ทุกนัดในพรีเมียร์ลีกปีนี้
          
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เมื่อทีมนั้นต้องเสียนักเตะที่เป็นกำลังสำคัญมาตลอดช่วงแรกของซีซั่นนี้อย่าง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์
           
กลับไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย
           
ไมเคิล คาร์ริค ลงมาเล่นแทนได้อย่างสบาย เพราะนี่คือตำแหน่งเดิมของเขาอยู่แล้ว เกมอาจจะดีเลย์ลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลดในเรื่องประสิทธิภาพลงไป
           
จากนั้น จอนนี่ อีแวนส์ เจ็บ คนที่ลงมาแทนคือ คริส สมอลลิ่ง ที่ได้ไปเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ตนเองต้องการ หลังจากยืนแบ็กขวามาใน 3 เกมแรก
           
แต่นัดนี้เขาเสียตำแหน่งให้กับ ฟิล โจนส์ ที่เล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟมาตลอด 3 เกมแรกเช่นกัน
           
สุด ๆ เลยก็คือ เมื่อ สมอลลิ่ง ถูกส่งลงสนามก็ต้องไปเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และไม่ได้ขยับมาเป็นแบ็ก แล้วให้ โจนส์ ไปเล่นเซ็นเตอร์ ตามลักษณะที่สมควรจะเป็น
          
นั่นหมายความว่า แมนฯยูไนเต็ด ยุคใหม่ ไม่มีใครบอกได้เหมือนกันว่า จะเสียตำแหน่งเมื่อไหร่อย่างไร ไม่มีใครรู้
           
รู้แต่เพียงว่า หลายๆ คนสามารถลงเล่นได้ทุกตำแหน่งเหมือนกับเมื่อปลายซีซั่นก่อนที่อยู่ๆ ฟาบิโอ ดา ซิลวา ดันมาแย่งตำแหน่งแบ็กขวาจากคู่แฝดของตัวเองอย่าง ราฟาเอล ดา ซิลวา หน้าตาเฉย
           
ขอเรียกผีรุ่นใหม่ของ เซอร์เฟอร์กี้ ว่า “ลูกกรอกคะนองผยองเดช”
           
พร้อมกับตอบโจทย์ได้ว่า ปีนี้ เซอร์เฟอร์กี้ จะใช้ระบบและความหลากหลายของนักเตะ ตามล่าแชมป์ทุกรายการ
           
ปัญหาเดียวก็คือ เด็กๆ แบบนี้ สไตล์การเล่นแบบนี้ จะยืนระยะได้นานแค่ไหน
           
น่าสนุกลุ้นมันส์แน่เมื่ออีกฟากฝั่งอย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี้ เลือกที่จะซื้อ ซื้อ แล้วก็ซื้อ เพื่อประสบความสำเร็จ
           
เงินบวกนักเตะดัง ดวลกับ ระบบบวกความเชื่อมั่น
           
อย่างแรกก็ถือว่าน่ากลัวแล้ว แต่ยังเชื่อว่า “อย่างหลัง”  นี่แหละ
           
น่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ!!!!!!

เรื่องโดย บี แหลมสิงห์

ขอบคุณเนื้อหาจากคอลัมน์ may i come in please นสพ.กีฬาฮอตสกอร์

---------------------------------------------------------------------------

<< คลิกเพื่อชมภาพใหญ่ >>

 

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ ลูกกรอกคะนองผยองเดช โดย..บี แหลมสิงห์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook