"ลูกากู" จะลาท็อฟฟี่??!

ฤดูกาลนี้ โรเมลู ลูกากู นับว่าเป็นศูนย์หน้าความหวังสูงสุดของเอฟเวอร์ตัน เพราะยิงไปแล้ว 20 ประตู รวมทุกรายการ

อย่างไรก็ตาม มีข่าวระบุว่า ลูกากู บอกปัดสัญญาใหม่ 5 ปี ที่ทีมดังแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ ยอมทุบเพดานค่าเหนื่อยสูงสุดตลอดกาลของสโมสร อย่างไม่ไยดี

เมื่อปลายปีที่แล้ว มิโน ไรโอลา เอเยนต์ส่วนตัวของเขา เคยออกมาบอกว่า สัญญาใหม่เสร็จแล้ว เกือบร้อยเปอร์เซนต์ เช่นเดียวกับ โรนัลด์ คูมัน กุนซือของทีม ที่เพิ่งประกาศเมื่อเร็วๆนี้ว่า ดีลนี้ใกล้บรรลุมากๆ

แต่ล่าสุด ดาวยิงทีมชาติเบลเยี่ยม กลับยกเลิกการเจรจาไปซะอย่างนั้น คำถามที่ตามมาก็คือ อนาคตของกองหน้าทีมชาติเบลเยี่ยมรายนี้ จะเป็นอย่างไรต่อ?

 

ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เราจะมาย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่สถานการณ์ที่มาถึง “ทางแยก” ในตอนนี้กันครับ

จุดเริ่มต้น เหตุย้ายทีม?

ต้องบอกว่า ลูกากู เป็นคนที่ทะเยอทะยาน กล้าฝัน และมุ่งมั่นมาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุเพียงแค่ 12 ขวบ เขาก็เข้าร่วมทีมเยาวชนของอันเดอร์เลชท์ไปแล้ว

เพียงครั้งแรก และครั้งเดียวที่เขาได้ดูทีมชุดใหญ่เล่น เขาก็สาบานกับตัวเองว่า จะไม่เหยียบเท้าเข้ามาในสนามอีก จนกว่าที่ตัวเองจะได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่แบบจริงๆ

 

ถึงขั้นยอมพลาด เกมบิ๊กแมตช์ในลีก, บอลถ้วย และแม้กระทั่งเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพื่อรักษาสัญญาใจของตน และก็ดันทำได้จริงๆ ทำได้มากกว่าที่เขาคิดด้วย

ถึงขนาดที่ว่า ช่องโทรทัศน์ของเบลเยี่ยม ตามติดชีวิตของ ลูกากู ถึงที่โรงเรียน หลังจากที่เขาเซ็นสัญญาอาชีพกับ อันเดอร์เลชท์ ด้วยวัยเพียง 16 ปี

บอกได้เลยว่า ดาวเตะรายนี้ คุ้นเคยกับการเป็นเป้าของผู้คนตั้งแต่วัยรุ่น และเขาก็ฉลาดเพียงพอที่จะจัดการกับมันได้อย่างดี

แล้วถ้อยคำให้สัมภาษณ์ เมื่อเร็วๆนี้นี่แหละ ที่เป็นหลักฐานชั้นดีว่า โอกาสที่จะออกจากถิ่นกูดิสัน พาร์ค มีสูงมากกว่า 50 เปอร์เซนต์แล้ว

 

“เอฟเวอร์ตัน เป็นสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ยอดเยี่ยม แต่อนาคตก็ต้องถูกขีดเขียนขึ้นมาใหม่ด้วย คุณ (นักข่าว) เข้าใจที่ผมพูดไหม?”

“เรามักจะคุยกันถึงทีมในยุค 80 หรือ 70 เสมอ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี แต่นักเตะของเราก็ต้องการให้แฟนๆพูดถึงทีมยุคปัจจุบัน แทนที่จะเป็นพวกเขาเช่นกัน”

“คุณไม่สามารถถูกจดจำในฐานะแค่จอมถล่มประตูอย่างเดียว คุณจะถูกจดจำได้ก็ต่อเมื่อคว้าแชมป์เท่านั้น และแทนที่จะจมปลักอยู่กับอดีต ตอนนี้เราต้องคิดถึงอนาคตข้างหน้าได้แล้ว”

นอกจากนั้น ก็ได้หยิบยกเรื่อง “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” มาพูด และมีความปรารถนาที่จะลงเล่นในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปขนาดไหน

 

การไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ย่อมเป็นความฝันของ “ท็อฟฟี่เมน” ทว่าแม้ในปีที่ทีมมีขุมกำลังที่ดี พร้อมคุมทัพโดยคนเก่งอย่างโรนัลด์ คูมัน ทีมยังไม่เฉียดเข้าใกล้ความหวังที่ว่าสักเท่าไหร่เลย

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ลูกากู จะเพิ่งออกมาระบุว่า มีความสุขกับทีม และพร้อมอยู่ค้าแข้งต่อไป แต่ถ้าหากเขาต้องการที่จะไปเล่นในระดับนั้น มันก็มีแค่ทางเลือกเดียว ที่คุณเดาได้ไม่ยากหรอกว่า คืออะไร?

เมื่อเร็วๆนี้ The Mirror สื่อชื่อดังของอังกฤษ ได้วิเคราะห์ว่า จุดหมายปลายทางในอนาคต ของดาวยิงทีมชาติเบลเยี่ยม มีตัวเลือกอยู่ 5 สโมสรด้วยกัน

โดยทีมในพรีเมียร์ลีก ที่ตกเป็นข่าวกับเจ้าตัว คือแมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล และเชลซี โดยเฉพาะทีมหลังสุด ที่สื่อดังกล่าววิเคราะห์ว่า โอกาสกลับคืนถ้ำสิงห์ มีสูงเลยทีเดียว

 

และยังมีทีมนอกลีกเมืองผู้ดีอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับแอตเลติโก้ มาดริด ที่มีกระแสข่าวให้ความสนใจด้วยเช่นกัน แต่ดูแล้วมีเปอร์เซนต์ความเป็นไปได้ที่น้อยกว่า

มีโอกาสอยู่ต่อไหม?

คำตอบคือ “มี” ครับ

จริงๆแล้ว ลูกากู น่าจะอำลาทีมไปตั้งแต่เมื่อซัมเมอร์ก่อนแล้ว แต่การมาของ ฟาร์ฮัด โมชิริ มหาเศรษฐีเอเชีย ก็ทำให้เขายอมอยู่ต่อ พร้อมตั้งเป้าพาทีมคว้าตั๋วลุยบอลถ้วยใหญ่ยุโรปให้ได้

ถึงแม้เราจะฟันธงได้เลยว่า เขาจะต้องออกจากเอฟเวอร์ตันในวันหนึ่งอย่างแน่นอน ทว่า เขามีจิตใจที่แข็งแกร่ง และฉลาดมากพอ ที่รู้ได้ว่าเขาไม่ควรรีบร้อนย้ายไปในที่ที่อาจไม่เหมาะกับตัวเอง

 

ที่ผ่านมา ดาวเตะทีมชาติเบลเยี่ยม รอคอยการย้ายไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่มานานแสนนาน แต่ด้วยวัยเพียงแค่ 23 ปี การอยู่ในกูดิสัน พาร์ค อย่างน้อยๆอีกสักหนึ่งปีแล้วค่อยย้าย ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายแต่อย่างใด

หรืออาจจะถึงขั้นยอมต่อสัญญาฉบับใหม่ก็ได้ จะทำเพื่อเรียกค่าตัวมหาศาลในอนาคต หรืออาจจะยกเลิกเงื่อนไขค่าฉีกสัญญา ก็ว่ากันไป

จุดเด่นของลูกากู คือความเร็ว แข็งแกร่ง และเซนส์การยิงประตูที่เก่งขึ้นเรื่อยๆในทุกเกม นอกจากนี้ เจ้าตัวยังสามารถสร้างพื้นที่ ดึงตัวประกบ และป้อนเพื่อนร่วมทีมในการลั่นสกอร์อีกด้วย

ตามรายงานระบุว่า เอฟเวอร์ตัน ต้องการค่าตัวอย่างน้อย 60 ล้านปอนด์ แต่ด้วยระยะเวลาสัญญาที่เหลืออีกเพียง 2 ปี และท่าทีของเจ้าตัวแล้ว “ท็อฟฟี่” อาจจะต้องรีบตัดสินใจสักอย่างได้แล้ว

ชีวิตการค้าแข้งในอนาคต คนที่รู้และให้คำตอบได้ดีที่สุด ก็คือ โรเมลู ลูกากู เองนี่แหละ