Premier League Review by มาร์ค สุรเดช

Premier League Review by มาร์ค สุรเดช

Premier League Review by มาร์ค สุรเดช
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ต้องพบกับข่าวร้ายในช่วงสุดสัปดาห์หลังมีการเปิดเผยข่าวการเสียชีวิตของผู้จัดการทีมชาติเวลส์ แกรี่ สปีด วัย 42 หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในเชเชียร์ได้พบร่างอันไร้ลมหายใจของเขาในบ้านพัก โดยปราศจากร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆ

นับเป็นการสูญเสียอันสำคัญอีกครั้งของวงการฟุตบอลเวลส์ และ อังกฤษ เพราะ สปีด นับเป็นนักเตะคนแรกที่ลงสนามในพรีเมียร์ลีกเกิน 500 นัด นอกจากนี้อดีตกองกลางผู้เคยผ่านการลงเล่นให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน รวมไปถึง โบลตัน วันเดอเรอร์ส ยังรับใช้ทีม “มังกรแดง” เวลส์ มากถึง 85 นัด โดยนับเป็นสถิติของผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ที่ลงเล่นให้ เวลส์ มากที่สุดอีกด้วย

เรากลับมาที่พรีเมียร์ลีกที่เตะกันไปในช่วงสุดสัปดาห์กันอีกครั้ง โดยคู่บิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์นี้อยู่ที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เปิดบ้านรับการมาเยือนของทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ก่อนเกมนี้ ทั้งสองทีมมีคะแนนห่างกันอยู่ 12 คะแนน โดย ลิเวอร์พูล ยังหวังที่จะเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดเพื่อจะทำอันดับกลับไปเล่นในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ในฤดูกาลหน้า

ขณะที่ผู้มาเยือนเพิ่งได้ข่าวดี เพราะเกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่ลงเตะไปหนึ่งวันก่อนหน้านั้น ลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สามารถเก็บเพิ่มได้เพียงแค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น จึงเป็นโอกาสดีหากว่า ซิตี้ สามารถบุกมาสยบ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ

นอกจากนี้เกมนี้ยังเตะกันในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 47 ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือชาวอิตาเลียนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกด้วย

ลิเวอร์พูล มีการปรับทัพเล็กน้อยในแดนหน้าเมื่อ เคนนี่ ดัลกลิช ตัดสินใจอนุญาตให้ เคร็ก เบลลามี่ กลับไปที่บ้านเพื่อไปช่วยจัดการเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับ แกรี่ สปีด เพราะทั้ง เบลลามี่ และ สปีด นั้นสนิทสนมกันมาก

แถม เบลลามี่ ยังให้ความเคารพในตัวรุ่นพี่คนนี้อย่างสูงด้วย นอกเหนือจากในฐานะของลูกทีม กับ  ผู้จัดการทีมชาติเวลส์ นั่นจึงเป็นโอกาสของ เดิร์ค เคาท์ ที่ได้ลงมายืนล่าตาข่ายคู่กับ หลุยส์ ซัวเรซ อีกครั้ง

ขณะที่ ซิตี้ เกมนี้ มันชินี่ ดูจะเน้นกับกองกลางมากเป็นพิเศษ โดยเขาเลือกส่ง “เอลกุน” เซร์คิโอ อาเกโร่ ลงเป็นกองหน้าตัวเป้าเพียงลำพัง แล้วอัดกองกลางลงสนามมากถึง 5 คน ทั้ง เจมส์ มิลเนอร์, แกเร็ธ แบร์รี่, ยาย่า ตูเร่, ซาเมียร์ นาสรี่ และ ดาวิด ซิลบา

ประตูแรกของเกมนี้เกิดขึ้นในนาทีที่ 31 จากจังหวะได้ลูกเตะมุม โดยเป็นทางฝั่งของ ซิตี้ ทีมเยือนที่ได้เฮก่อน เมื่อกัปตันทีมชาวเบลเจี้ยน แว็งซ็องต์ กอมปานี เติมขึ้นมาโหม่งพังประตูนี้

อย่างไรก็ดี ลิเวอร์พูล ก็มีโชคด้วยเมื่อได้ประตูตีเสมอคืนทันควันเพียงแค่ 2 นาทีหลังจากโดนนำไป เมื่อลูกยิงไกลของ ชาร์ลี อดัม ไปแฉลบตัวของ โจลีออน เลสค็อตต์ เปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเอง และนั่นทำให้จบครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันที่ 1-1

ครึ่งหลังเกมยังเล่นกันได้อย่างสนุก ลิเวอร์พูล เดินหน้าเต็มที่เพื่อจะเก็บชัยชนะให้ได้ เพราะพวกเขามีผลงานในเกมลีกที่แอนฟิลด์ฤดูกาลนี้ไม่สู้ดีนัก อย่างไรก็ดีความพยายามของเจ้าบ้านก็ไม่สามารถจะเอาชนะความเหนียวแน่นของ โจ ฮาร์ท และเกมรับของ ซิตี้ ได้ ทำให้สุดท้ายต้องจำใจแบ่งแต้มกันไป

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของเกมนี้คงหนีไม่พ้นจังหวะโดนใบเหลืองที่สองของ มาริโอ บาโลเตลลี่ ของทางฝั่ง ซิตี้ ทำให้เจ้าตัวถูกไล่ออกจากสนามเป็นครั้งที่ 3 เข้าให้แล้วในการเล่นให้ ซิตี้ นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก อินเตอร์ เมื่อปี 2010

บาโลเตลลี่ ถูกส่งลงสนามมาเป็นตัวสำรองในเกมนี้ เมื่อเปลี่ยนมาแทนที่ ซาเมียร์ นาสรี่ ในนาทีที่ 65 แต่ก่อนหมดเวลาเพียง 7 นาที เขาก็ต้องออกไปอาบน้ำก่อนใครเมื่อไปเจตนาศอกใส่ มาร์ติน สเคอร์เทล ทำให้โดนผู้ตัดสิน มาร์ติน แอตกินสัน ไล่ตะเพิดออกไปอย่างช่วยไม่ได้

ผลเสมอทำให้ ซิตี้ ยังนำเป็นจ่าฝูงต่อไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือทีมที่ไล่ตามหลังพวกเขาอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถจะเก็บ 3 คะแนนไล่จี้กระชั้นเข้ามาได้ 

ภายหลังเกม โรแบร์โต้ มันชินี่ กล่าวแบบค่อนข้างพอใจกับผลการแข่งขันที่ได้รับว่า “นี่เป็นเกมที่ยากมาก และเราพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะเป็นผู้ชนะ เราทิ้งโอกาสดีๆไป 3-4 ครั้ง ขณะเดียวกัน โจ ฮาร์ท ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย”

ด้าน คิง เคนนี่ ก็ให้สัมภาษณ์ด้วยความพอใจกับผลงานที่ลูกทีมของเขาแสดงให้เห็น โดยกล่าวว่า “ผมดีใจกับทรรศนะและความมุ่งมั่นที่ลูกทีมแสดงออกมาในวันนี้”

“เราเล่นได้กับ 2 ทีมจากแมนเชสเตอร์ ในฤดูกาลนี้ ที่น่าเสียดายคือเราเก็บได้เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้นจากทั้ง 2 เกมที่ว่า”

“เราจะไม่มองย้อนกลับไปข้างหลัง แต่จะมองต่อไปข้างหน้า และหวังจะรักษาฟอร์มการเล่นเช่นนี้เอาไว้ให้ได้”

สำหรับ ลิเวอร์พูล แม้จะไม่แพ้ติดต่อกันมาหลายเกม แต่ผลเสมอจากเกมนี้เท่ากับพวกเขาเอาชนะคู่แข่งในบ้านของตัวเองได้เพียงแค่ 2 หนเท่านั้นนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา

ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เกมระหว่าง “แชมป์เก่า” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะความหวังของ ยูไนเต็ด ที่จะทำแต้มลดช่องว่างระหว่างพวกเขา กับ ซิตี้ ยังมีอยู่ เช่นเดียวกันกับ ซิตี้ แม้สัปดาห์ก่อนจะเพิ่งพบกับความปราชัยหนแรกในลีกฤดูกาลนี้ แต่นั่นก็เป็นการแพ้ให้กับทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แข็งแกร่ง และ เหนือกว่าพวกเขา

เกมนี้ อลัน พาร์ดิว ส่ง กาเบรียล โอแบร์กต็อง และ แดนนี่ ซิมพ์สัน ลงเป็น 11 ตัวจริง และยังเป็นการได้เจอกับทีมเก่าของทั้งคู่ด้วย

นิวคาสเซิล มาสู้กับ ยูไนเต็ด ในเกมนี้แบบไม่ได้มาเน้นรับ พวกเขาพยายามจะบุกสู้กับเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ ก่อนจบครึ่งแรก “ชิชาริโต้” ฮาเวียร์ เอร์นันเดซ เกือบจะเบิกสกอร์ให้กับ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ แต่ดาวเตะเม็กซิกันก็ทิ้งโอกาสที่น่าจะเป็นประตูไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้ครึ่งแรกในเกมนี้ยังไม่มีสกอร์ใดๆเกิดขึ้น

กลับมาเล่นครึ่งหลังกันใหม่ไปเพียงแค่ 4 นาที “ชิชาริโต้” ก็กลายเป็นผู้ทำประตูแรกของเกมนี้ เมื่อบอลจากจังหวะวอลเลย์ของ เวย์น รูนี่ย์ มาโดนตัวเขาทำให้ ทิม ครูล นายประตูดัตช์ของ นิวคาสเซิล เสียจังหวะ โดยนี่ยังนับเป็นประตูที่ 6 ในฤดูกาลนี้ของเขาด้วย แต่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่เขาทำได้ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

แต่ความพยายามของ นิวคาสเซิล ที่จะตีเสมอก็มาสัมฤทธิผลในนาทีที่ 64 เมื่อผู้ตัดสิน ไมค์ โจนส์ มอบจุดโทษให้กับพวกเขาหลังจากจังหวะเบียดแย่งบอลของ ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ กลายเป็นการฟาวล์ของปราการหลังพันล้าน

จุดโทษนี้ทำเอา เซอร์ อเล็กซ์ ถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทีเดียว โดยคนรับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาดก็คือ เดมบ้า บา หัวหอกประจำทีม นิวคาสเซิ่ล

นิวคาสเซิล ต้องหันมาเน้นเกมรับเพื่อขอแบ่งแต้ม หลังจาก โจนาส กูเตียร์เรซ มาโดนใบเหลืองที่ 2 ของเขาก่อนหมดเวลา 12 นาที และแม้ว่า ยูไนเต็ด จะโหมบุกอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะแนวรับของทีมเยือนไปได้ ทำให้ ยูไนเต็ด ต้องพลาดโอกาสเก็บ 3 คะแนนไล่จี้ ซิตี้ กระชั้นเข้ามาไปอย่างน่าเสียดาย

หลังเกม อลัน พาร์ดิว กุนซือผู้พา นิวคาสเซิล ทำผลงานได้ดีเกินความคาดหมายในฤดูกาลนี้ กล่าวว่า “นักเตะของเราเล่นกันได้ดีมากๆในวันนี้ พวกเขาต่อกรกับทีมระดับแถวหน้าของยุโรปได้อย่างสนุก”

“จังหวะได้จุดโทษนั้น ริโอ เฟอร์ดินานด์ เล่นที่บอลจริง แต่เราโชคดี”

“เราต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อจะหยุดยั้งเกมรุกของพวกเขา พวกนักเตะทำให้ชาวจอร์ดี้ภาคภูมิใจ เราทำให้ ยูไนเต็ด เล่นกันลำบาก”

“สัปดาห์หน้าเราจะได้ดวลกับ เชลซี เป็นทีมต่อไป และเราพร้อมที่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นทีมที่ดีของเราอีกครั้ง”

ด้าน เซอร์ อเล็กซ์ ซึ่งผิดหวังสุดๆกับการตัดสินใจของผู้ช่วยผู้ตัดสิน จอห์น ฟลินน์ ที่ให้คำยืนยันกับ ไมค์ โจนส์ ผู้ตัดสินในเกมดังกล่าวว่าจังหวะปะทะกันระหว่าง เบน อาร์กฟา กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ สมควรเป็นจุดโทษ กล่าวว่า

“ผู้ตัดสิน คิดว่ามันเป็นลูกเตะมุมมากกว่า ปัญหาคือผู้ช่วยผู้ตัดสินไม่ใช่พวกที่ทำงานแบบฟูลไทม์ และปัญหาก็คือมันควรจะเป็นจุดโทษหากคุณไปถามใครก็ตามในสนามยกเว้นผู้ช่วยผู้ตัดสินคนนั้น”

ทั้งนี้ เซอร์ อเล็กซ์ ยังได้ยกตัวอย่างการตัดสินของ ลี เมสัน ผู้ตัดสินในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ ซันเดอร์แลนด์ และปฏิเสธการให้จุดโทษของ ซันเดอร์แลนด์ ทั้งๆที่ผู้ช่วยผู้ตัดสินได้ยกธงเป็นสัญญาณว่ามีการทำแฮนด์บอลในเขตโทษ และควรจะให้ลูกโทษกับทาง ซันเดอร์แลนด์

แต่ที่แตกต่างจากเกมกับ นิวคาสเซิ่ล ก็คือ ลี เมสัน ได้ตัดสินใจที่จะไม่ให้จุดโทษกับทีมของ สตีฟ บรู๊ซ เพราะเขาเห็นว่าฝ่ายที่ทำแฮนด์บอลจริงๆนั้นคือผู้เล่นของ ซันเดอร์แลนด์ เอง

“สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี หลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ในเกมลีกคาบ้าน 3 เกมติดต่อกันได้สำเร็จ หลังจากจัดการเปิดบ้าน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถล่มผู้มาเยือนอย่าง วูล์ฟแฮมป์ตัน ถึง 3-0

สกอร์บอร์ดที่ เดอะ บริดจ์ ขยับเป็น 3-0 ตั้งแต่จบครึ่งแรก และนั่นทำให้ เชลซี คว้าชัยได้อย่างเด็ดขาด โดย 3 ประตูในเกมนี้ของ เชลซี ได้จาก จอห์น เทอร์รี่, ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และปิดท้ายด้วย ฆวน มาต้า

ชัยชนะในเกมนี้ช่วยลดความกดดันที่มีต่อเก้าอี้ของผู้จัดการทีมชาวโปรตุกีส อังเดร วิลลาส โบอาส ได้เยอะ เพราะ เชลซี แพ้ถึง 3 จาก 5 เกมหลังสุดที่ลงเล่นในลีก แถมยังเอาชนะคู่แข่งได้เพียง 2 จาก 7 เกมหลังสุดด้วย

ประตูที่ สเตอร์ริดจ์ ทำได้ในเกมนี้ นับเป็นประตูที่ 6 ในฤดูกาลนี้ของเขาแล้วด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยเพราะมากกว่าจำนวนที่ เฟร์นันโด ตอร์เรส กับ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ทำได้รวมกันถึง 2 เท่า

อย่างไรก็ดีแม้จะเก็บชัยในเกมนี้ แต่ โบอาส ก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้อยู่ดี เพราะหากมองไปที่โปรแกรมที่รอเขา และ ลูกทีม เชลซี อยู่เบื้องหน้านั้นค่อนข้างอันตราย เมื่อในพรีเมียร์ลีกจะต้องเผชิญหน้ากับทั้ง นิวคาสเซิล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ส่วนในเกมชิงดำแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ต้องตัดกับ “ไอ้ค้างคาว” บาเลนเซีย จาก สเปน อีก

สัปดาห์หน้าระยะห่างระหว่าง ซิตี้ กับเหล่าทีมตามจะถูกยืดออกไป หรือ ถูกบีบให้กระชั้นเข้ามา ต้องคอยติดตามกันครับ

เรื่องโดย "มาร์ค สุรเดช"

คอลัมน์ Premier League Review นสพ.กีฬารายวันฮอตสกอร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook