เรื่องหมูๆ

ฟุตบอล : ท่ามกลางฉากสุดท้ายของการปฎิบัติหน้าที่ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือ

ผู้ที่จะเป็นตำนานเล่าขานไปอีกนานแสนนานของ "ผีแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด และสหราชอาณาจักร

ภาพของชายแก่วัย 71 ปีที่ถือไมค์กล่าวขอบคุณแฟนบอลอยู่ตรงกลางโรงละครแห่งความฝันต่อหน้าสักขีพยานกว่า 7 หมื่นกว่าคน

มันช่างดูยิ่งใหญ่ ประทับใจ ปลาบปลื้มและเรียกน้ำตาสาวก "เรด อาร์มี่" ได้ทั้งสนาม

 

 

พูดกันตามตรงตัวผู้เล่นเขียนเองแม้ว่าจะแฟนบอลทีมอื่น และมักจะมีอคติกับผู้จัดการทีมรายนี้อยู่เป็นประจำ ยังอดทำซึ้งน้ำตาคลอไปด้วยไม่ได้

อย่างไรก็ตามเรื่องอดีตกำลังจะผ่านพ้นไป โลกแห่งความจริงจะกลับมา ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการจากไปของชายคนนี้ได้ทิ้งคำถามคาใจแฟนบอลทั่วโลกเอาไว้อย่างมากมาย

อนาคตของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในวันที่ไม่มี เซอร์อเล็กซ์ จะเป็นอย่างไร?
จะมีซักวันไมที่ เฟอร์กูสัน จะคัมแบ็กกลับมาคุมทีมอีกครั้ง?
การอำลาครั้งนี้คือจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ "ผีแดง" หรือเปล่า?
เดวิด มอยส์ ผู้ที่ถูกเลือกให้เขามาสานงานต่อจะทำได้ดีแค่ไหน?
แนวทางการทำทีมหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?
จะมีผู้เล่นคนไหนย้ายเข้า-ย้ายออกบ้างในซัมเมอร์นี้?

และที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยคือการที่ "เฟอร์กี้" ออกมายอมรับแบบลูกผู้ชายว่า เวย์น รูนี่ย์ หัวหอกตัวเก่งของทีมได้ยื่นหนังสือของย้ายออกจริงอย่างที่เป็นข่าว แต่ทีมได้ปฎิเสธคำขอและไม่ต้องการที่จะขายเจ้าตัวออกไปก็ตาม

 

เรื่องนี้ถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะหัวหอกเจ้าของฉายา "สุกรโลกันต์" ไม่ใช่นักเตะระดับขี้กลากขี้เกลือน เขาเป็นถึงหัวหอกเบอร์ 1 ของทีมชาติ อังกฤษ การตกเป็นข่าวแต่ละหนก็มักจะโผล่ระดับหน้า 1 ของสื่อดังอยู่เสมอๆ

และที่สำคัญประเด็นแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก ปลายปี 2553 รูนี่ย์ เคยออกมาวิจารณ์ทีมว่าไร้ความทะเยอะทะยาน จนตกเป็นข่าวลือใหญ่โตว่าอาจจะหนีไปซบทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนฯ ซิตี้ ก่อนสุดท้ายออกมาขอโทษขอโพยพร้อมทั้งต่อสัญญายาว 5 ปี

ครั้งต่อมาก็ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดสองที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กระเด็นตกรอบด้วยการแพ้คาถิ่นต่อ เรอัล มาดริด ซึ่งเกมนั้นเขาถูกดร็อปเป็นเพียงตัวสำรอง ซึ่งสื่อก็จับต้นชนปลายทั้งมีมูลและไม่มีมูล จัดการเสี้ยมหนักถึงขนาดว่า "ผีแดง" พร้อมตัดราคาขายออกจากทีมที่ 25 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

 

ขณะที่ต้นเดือนที่ผ่านมาก็มีการเล่นทำนองนี้อีกครั้ง "เดลี่ มิร์เรอร์" ออกมาแฉว่า รูนี่ย์ ได้บอกเพื่อนสนิทว่าอยากจะย้ายไปเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่จะมี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คุมทีมในฤดูกาลหน้า

เท่านั้นไม่พอในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสื่อผู้ดีตีข่าวอีกครั้งว่าดาวยิง "สิงโตคำราม" ได้ร้องขอย้ายทีม โดยมี เชลซี เป็นตัวเต็งที่พร้อมจะทุ่มดึงไปร่วมไปทัพ

ส่วนประเด็นที่หลุดโผในเกมกับ สวอนซี ตอนแรกมีการลือในทวิตเตอร์ว่าเป็นเพราะฟาดปากกับ ฟิล โจนส์ เพื่อนร่วมทีม ก่อนมาได้บทสรุปหลัง เซอร์อเล็กซ์ ออกมาเฉลยหลังเกมจบ

สาเหตุสำคัญที่เราน่าจะเห็นและเข้าใจกันได้ไม่ยาก คือการถูกริบบทบาท ถูกถอนความสำคัญลงแบบเห็นได้ชัด กลายเป็นเพียงแค่เงาของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ หัวหอกลูกรักคนใหม่อยู่ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา

มีหลายเกมที่ "หมูรูน" ไม่ได้เป็นตัวจริง หลายนัดที่ถูกเปลี่ยนตัวออก และการเป็นจำฉ่ายคนใหม่ที่ไม่มีตำแหน่งตายตัว ไม่ได้เล่นในโพซิชั่นที่ตัวเองถนัด แทบจะนับครั้งได้ว่าถูกจับเป็นกองหน้าจริงๆอยู่กี่นัด
อารมณ์ของหัวหอกวัย 27 ปีเข้าตำราไทยที่ว่า "คนไม่มีใจ อยู่ไปก็ไม่มีความสุข"

ว่ากันที่ความเป็นไปได้ แม้จะมีการยืนยันว่าทีมไม่ต้องการขาย และเด็กผีหลายคนก็เชื่อว่าการเข้ามาของ เดวิด มอยส์ ผู้เปรียบเสมือนครูคนแรก น่าจะทำให้ รูนี่ย์ น่าจะเลือกที่จะอยู่ต่อได้ไม่ยาก

แต่หากมองในมุมกลับกันสมัยที่ยังสวมเสื้อสีน้ำเงินของ เอฟเวอร์ตัน เป็นทาง รูนี่ย์ เองมิใช่หรือที่ตัดสินใจทิ้ง มอยส์ มาสวมเสื้อ "ผีแดง"

เมื่อบวกกับข่าวที่ว่ากุนซือหน้าอีทีเล็งดึงลูกน้องเก่าอย่าง เลห์ตัน เบนส์ และ มารูยาน เฟลไลนี่ เข้ามาเสริมทัพ โดยเฉพาะรายของดาวเตะหัวฟูที่น่าจะทับไลน์กับ รูน ไม่มากก็น้อย

ขนาดของเดิมที่มี ชินจิ คางาวะ, ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ หรือหัวหอกแฟนร้องยี้อย่าง แดเนี่ยล เวลเบ็ค ก็ยังต้องแย่งกันลงแทบเป็นแทบตาย เพราะเรารู้กันดีว่าตำแหน่งตัวยืนมี โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ จับจองอยู่

เทียบผลงานในซีซั่นดีตัวเลข 12 ประตูในลีกอาจจะดูไม่ขี้เหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามีฟอร์มที่ดร็อปลงไปเยอะ ร่างกายก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ เจ็บออดๆแอดๆอยู่ตลอด ดังนั้นมันก็ไม่น่าแปลกใจหาก มอยส์ จะเลือกขาย รูนี่ย์ เพื่อแลกกับเงินก้อนโตก็เป็นได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างจะต้องรอกันต่อไปจนกว่า เดวิด มอยส์ จะเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้และได้มีการคุยกับ เวย์น รูนี่ย์ อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน

แต่ถ้าวัดจากลางสังหรณ์ของตัวผู้เขียนเอง ผมคิดว่า รูนี่ย์ จะย้ายออกจากโรงละครแห่งความฝันนะ!!


เรื่องโดย- เกื้อ บ้านไกล