ภาพจำที่ลบไม่ออก : "โรเบิร์ต กรีน" กับความผิดพลาดครั้งเดียวในทีมชาติอังกฤษ

ภาพจำที่ลบไม่ออก : "โรเบิร์ต กรีน" กับความผิดพลาดครั้งเดียวในทีมชาติอังกฤษ

ภาพจำที่ลบไม่ออก : "โรเบิร์ต กรีน" กับความผิดพลาดครั้งเดียวในทีมชาติอังกฤษ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พรีเมียร์ลีก คือลีกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกมาเป็นเวลายาวนาน การแข่งขันที่สูงส่ง ทำให้แต่ละสโมสรที่มีเเรงทรัพย์มากพอ จะเลือกนำเงินไปแลกกับนักเตะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อความอยู่รอดและรักษาส่วนแบ่งชิ้นโตที่ทางลีกจะมอบให้

ดังนั้นปัญหาของทีมชาติอังกฤษก่อนหน้านี้ คือ การไม่มีที่ว่างให้นักเตะท้องถิ่นมากมายนัก และเรื่องนี้ส่งผลให้พวกเขาเผชิญกับปัญหาเมื่อถึงเวลาที่ต้องเรียกนักเตะติดทีมชาติ พวกเขามักจะได้นักเตะที่ขัดตาขัดใจแฟนบอลเป็นประจำ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว มันไม่ได้มีทางเลือกอะไรมากมายนัก

และนี่คือเรื่องราวของปัญหาลูกโซ่ในชาติที่สื่อและแฟนบอลมีความต้องการจะเห็นมาตรฐานที่สูงจนเกินความเป็นจริง หากทีมชาติอังกฤษลงแข่งขัน และไม่สามารถเอาชนะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดความผิดพลาดส่วนบุคคลแล้วด้วยล่ะก็... คนๆนั้นแทบจะตกนรกทั้งเป็น

 

เดวิด เบ็คแฮม เคยโดนก่นด่าทั้งบ้านทั้งเมืองจากใบเเดงในฟุตบอลโลก 1998, เวย์น รูนี่ย์ เคยโดนเกลียดชังไม่ต่างกันจากใบเเดงในฟุตบอลโลก 2006 ทว่าทั้งคู่ผ่านมาได้เพราะเป็นนักเตะ ที่มีต้นทุนเรื่องฝีเท้าและชื่อเสียงในระดับสูงอยู่เเล้ว 

อย่างไรก็ตามสำหรับนักเตะบ้านๆอย่าง โรเบิร์ต กรีน นายทวารผู้ทำผิดพลาดจนเป็นเหตุให้อังกฤษเสียประตูในเกมกับสหรัฐอเมริกา มันแตกต่างออกไป และเขาไม่เคยขึ้นไปได้สูงอีกเลยนับจากโดนสื่อเล่นงานและความเกลียดชังจากแฟนบอล 

ติดตามเรื่องราวความคาดหวังสูงส่ง และความต้องการหาคนมารับผิด จนเปลี่ยนชีวิตของ โรเบิร์ต กรีน ได้ที่นี่

อังกฤษกับปัญหาผู้รักษาประตู

หลังจาก เดวิด ซีแมน วางมือจากฟุตบอลโลกในปี 2002 ไม่มีใครกล้าตอบได้เต็มปากว่า นายทวารคนไหนกันแน่คือมือ 1 ของทีมชาติอังกฤษแบบจริงๆจังๆและทำมาตรฐานได้ดีจนถึงระดับที่ ซีแมน ทำไว้ได้เลย

 1

ยูโร 2004 อังกฤษ ใช้ เดวิด เจมส์ (แมนฯซิตี้), พอล โรบินสัน (สเปอร์ส) และ เอียน วอล์คเกอร์ (เลสเตอร์), ฟุตบอลโลก 2006 ใช้ พอล โรบินสัน (สเปอร์ส), เดวิด เจมส์ (แมนฯซิตี้) และ สก็อตต์ คาร์สัน (ลิเวอร์พูล), ฟุตบอลยูโร 2008 ไม่ได้ไปแข่ง ขณะที่ฟุตบอลโลก 2010 ครั้งที่เป็นประเด็นนั้น ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือของทีมเลือกใช้ เดวิด เจมส์ (ปอร์ทสมัธ),โรเบิร์ต กรีน (เวสต์แฮม) และ โจ ฮาร์ท (เบอร์มิงแฮม)

จากรายชื่อที่กล่าวมาและต้นสังกัดของแต่ละคน หากคุณเป็นแฟนฟุตบอลแล้ว จะทำให้พอเห็นภาพได้ว่านายทวารแต่ละคนที่อังกฤษใช้งานในแต่ละทัวร์นาเม้นต์ล้วนแต่วางใจ 100% ไม่ได้ทั้งสิ้น พวกเขาต้องยอมรับว่าขาดประตูมือดี เพราะทีมใหญ่ๆมักใช้ประตูต่างชาติกันหมด มีเพียง เดวิด เจมส์ คนเดียวเท่านั้นที่ติดทีมมาทุกชุด ทว่าในฟุตบอลโลกปี 2010 เจมส์ ก็อายุย่าง 40 ปีเเล้ว และนี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับอังกฤษในเวลานั้น

"ผู้รักษาประตูของพวกเขาคือตำแหน่งที่จะต้องเจอกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาอย่างแท้จริง ไม่มีคนไหนเลยที่ได้เล่นฟุตบอลยุโรประดับสโมสร ซึ่งเป็นเกมระดับสูงที่สุดเท่าที่จะหาได้ และเมื่อคุณไม่ได้เล่นให้กับสโมสรระดับท็อปในการแข่งขันระดับต้นๆของโลก คุณจะพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ที่จะลงเล่นเกมทีมชาติในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ ปัญหาจะเริ่มขึ้นเมื่อทุกสายตาจับจ้องมาที่คุณ" นี่คือสิ่งที่ อิเคร์ กาซิยาส พูดถึง 3 ผู้รักษาประตูของอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนั้น

แม้อังกฤษจะอยู่สายไม่เเข็งมากด้วยการร่วมกลุ่มกับ แอลจีเรีย, สโลวีเนีย และ อเมริกา แต่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ต้องปวดหัวกับการเลือกจัดตัวในฟุตบอลโลก 2010 ครั้งนี้เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีประตูคนไหน โดดเด่นแบบชนะขาดลอยเลยแม้แต่คนเดียว

เจมส์ มีความเก๋าและประสบการณ์มากที่สุดแต่ผลงานกับ ปอร์ทสมัธ ก็เริ่มตกลงนับตั้งแต่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2008 หากประเมินตามสถิติก็คงต้องบอกว่า อยู่ในช่วงขาลงเเล้ว, ขณะที โจ ฮาร์ท เป็นดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามอง อายุยังน้อยและถูก แมนฯ ซิตี้ ปล่อยให้ เบอร์มิงแฮม ยืมตัวไปใช้งานและได้ลงต่อเนื่อง แต่ปัญหาในตอนนั้น คือ เขายังเด็กเกินไป อายุ 20 ย่าง 21 ปี และยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองในระดับสูงมากนัก

 2

คนสุดท้ายโรเบิร์ต กรีน ไม่เคยเล่นทีมใหญ่ แต่เป็นผู้รักษาประตูที่น่าจับตามอง ลงเล่นเกมลีกมาเเล้วกว่า 400 แมตช์ อายุ 29 ปี ถือว่าเป็นคนที่รักษามาตรฐานได้เหนียวแน่น ตั้งแต่พานอริชเลื่อนชั้นจนได้ย้ายมาอยู่กับเวสต์แฮม และเป็นมือ 1 ของทีม 3 ปีรวด หนำซ้ำก่อนบอลโลกจะเริ่ม อาร์เซน่อล ก็ให้ความสนใจในตัวเขาอีกด้วย แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่เคยพิสูจน์ตัวเองในเกมการแข่งขันระดับสูงเลย 

"ผมเลือกไว้แล้ว (ว่าใครจะเป็นผู้รักษาประตูมือ 1) แต่ผมยังบอกไม่ได้และเราจะได้รู้กันในวันพรุ่งนี้" คาเปลโล่ กล่าวเริ่มถึงเรื่องที่ใครต่อใครต่างสงสัย และเขาเองก็ดูจะสนุกกับเกมการเลือกครั้งนี้ เพราะแม้แต่นักเตะในทีมยังไม่รู้เลยว่าใครจะกลายเป็นนายทวารมือ 1 กันแน่...The Guardian สื่อจากอังกฤษอ้างว่านักเตะในตำแหน่งผู้รักษาประตูในเกมนั้นรู้ตัวว่าตัวเองจะได้ลงเล่นเป็นมือ 1 ก่อนเกมเริ่มเพียง 120 นาทีเท่านั้น

"ว่าเเล้ว" ตอนหวยออก

เมื่อถึงวันแข่งขันจริงอังกฤษลงสนามนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการพบกับ สหรัฐอเมริกา คำถามเกี่ยวกับผู้รักษาประตูของอังกฤษยังคงดำเนินไปจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนประกาศรายชื่อ กระทั่งผลออกมาเป็น กรีน ที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 12 ลงเล่นในนัดเปิดสนาม เท่านั้นเองคำวิจารณ์มากมายก็เริ่มเกิดขึ้น เพราะโจ ฮาร์ท คล่องแคล่ว, รวดเร็ว, ว่องไว และเป็นอนาคตของชาติที่ควรได้โอกาส ขณะที่ เจมส์ ก็รับใช้ทีมชาติมากว่า 50 นัด ซึ่งทัวร์นาเม้นต์ระดับบอลโลกนั้นการเลือกใช้นักเตะที่เป็นงานคือตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดตามที่หลายคนเข้าใจ ทว่า คาเปลโล่ ไม่ได้คิดแบบนั้น 

 3

"ผมเลือก กรีน เป็นมือ 1 เพราะเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดด้านฟอร์มการเล่น เขาลงเล่นให้กับเราในช่วงอุ่นเครื่องกับเม็กซิโกและทำผลงานได้ดีมากๆ" คาเปลโล่ เปิดใจกับตำแหน่งมือ 1 ของเขา ซึ่งในตอนแรกนั้นทุกคนต่างๆเห็นด้วยทั้งสิ้น ทุกคนตั้งใจฟัง และรอดูอย่างสงบด้วยเหตุผลข้อหนึ่ง คือ เพราะปัญหามันยังไม่เกิดขึ้นนั่นเอง

พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมดเเล้ว กรีน คือตัวเลือกที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางมากที่สุด ไม่แก่เกินไป ไม่เด็กเกินไป มีประสบการณ์พร้อมกับมีผลงานที่ดีในระดับลีกด้วย...ทุกอย่างดูเป็นเหตุเป็นผลไปหมด ตอนที่ปัญหายังไม่เกิด

 4

เกมเริ่มได้ 4 นาที สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยิงให้อังกฤษออกนำไปก่อน 1-0 และทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นจากการครองเกมบุกด้วยชื่อชั้นและประสิทธิภาพนักเตะที่เหนือกว่า จนกระทั่งในนาทีที่ 40 คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ กองหน้าของสหรัฐอเมริกา ยิงไกลวัดดวงเข้ามาที่ปากประตู โรเบิร์ต กรีน ยืนดักรออยู่ตรงนั้น แต่ปัญหา คือ บอลกระดอนพื้น เขาพยายามจะรับบอลให้เข้าซองแต่สุดท้าย “ซองแตก” บอลปลิ้นเข้าประตูไปอย่างช้าๆ ขณะที่ กรีน พยายามตะเกียดตะกายอย่างสุดความสามารถเพื่อตามไปคว้าบอลจากเส้น แต่แล้วก็ไม่ทัน... อเมริกา ตีเสมอ 1-1 และเกมจบด้วยสกอร์ดังกล่าว

 5

ฟาบิโอ คาเปลโล่ คือคนที่ต้องออกรับหน้าแทนลูกทีมก่อนใคร เขาโบ้ยไปที่ลูกบอลที่ชื่อว่า "จาบูลานี่" ที่เป็นประเด็นตั้งแต่ก่อนแข่งขันเเล้วว่ามันส่ายและยากสำหรับผู้รักษาประตูเกินไป อย่างไรก็ตาม คนอังกฤษไม่ได้อยากฟังคำนั้นสักเท่าไหร่ สื่อต่างๆ เริ่ม "ว่าแล้ว หลังหวยออก" พวกเขาเริ่มจิ้มว่า คาเปลโล่ ผิดพลาดในการเลือกตัว เจมส์ หรือ ฮาร์ท ควรจะเป็นตัวจริงมากกว่า ส่วนกรีนนั้นแน่นอนว่า แทบไม่เหลือที่ยืน เขาโดนสับยับยิ่งกว่า คาเปลโล่ หลายเท่าในความผิดพลาดพื้นฐานมากที่สุดครั้งนี้

"กรีน มีจังหวะเซฟครั้งเดียวแท้ๆ แต่เขาก็ยังทำมันไม่ได้ ความผิดพลาดเเบบเด็กๆครั้งนี้มันคือเหตุผลที่เขาจะต้องพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย" เทอร์รี่ บุตเชอร์ อดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษจ้วงใส่ กรีน อย่างหนัก 

 6

ขณะที่โลกโซเชียลนั้นยิ่งกว่า นอกจากการด่าทับถมแล้ว กรีน ยังเป็นตัวตลกจนเว็บไซต์เทเลกราฟรวบรวมมุกตลกที่ กรีน โดนแฟนๆล้อเลียนมากมาย  อาทิ "ทำไม เจอร์ราร์ด ถึงบอกว่าทุกคนในทีมอยู่พร้อมอยู่ข้างหลังกรีนเสมอน่ะเหรอ? ง่ายนิดเดียวเพราะเขารับบอลไม่อยู่ไง", "ช่วยด้วยคอมพิวเตอร์ผมติดไวรัส โรเบิร์ต กรีน ตอนนี้มันเซฟอะไรไม่ได้ซักอย่าง" หรือ "ก่อนมาเล่นบอล กรีน คงเป็นคนขับรถบัส แต่เขาโดนไล่ออก เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหยุด (Stop) รถยังไง" ทั้งหมดนี้ คือ ส่วนหนึ่งที่ โรเบิร์ต กรีน ต้องรับศึกหนักจากความผิดพลาดของเขา

ทุกคนต่างชี้พร้อมกันว่าโรเบิร์ต กรีน อ่อนชั้นเกินกว่าจะเป็นมือ 1 ของทีมอีกต่อไป ซ้ำร้ายคือเขาไม่สมควรที่จะติดทีมชุดนี้เลยด้วยซ้ำ...นี่คือสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง "ก่อนแข่ง" กับ "หลังเเข่ง"

ขอโทษก็ไม่หาย

ตัวของ กรีน นั้นช็อคตั้งแต่เกมยังไม่จบเเล้ว "เดลี่ เมล" เผยว่าหลังจากจบครึ่งแรกที่สกอร์เสมอกัน 1-1 เขาเดินเข้าไปหาเพื่อนๆทุกคนในทีมและขอโทษกับความผิดพลาดส่วนตัวที่เกิดขึ้น เขาไม่โทษลูกฟุตบอลจาบูลานี่ หรืออะไรทั้งนั้น 

 7

"มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยจริงๆ เกมมันไปเร็วมากๆจนมาถึงเรื่องที่มันเกิดขึ้น ผมทำเรื่องผิดพลาด แต่นั่นล่ะคือชีวิต ผมต้องจัดการกับมันให้ได้และไปต่อ ผมไม่โทษลูกฟุตบอลอะไรนั่นเลย เพราะจริงๆแล้วผมควรจะหยุดมันได้ดีกว่านี้" 

สตีเว่น เจอร์ราร์ด และแฟร้งค์ แลมพาร์ด คือ 2 ผู้เล่นที่ออกโรงสนับสนุน กรีน ให้กลับมามั่นใจอีกครั้ง ซึ่งตัวของกรีน เองก็ยังให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางที่ยังมั่นใจอยู่ เขากล่าวขอโทษกับแฟนบอลชาวอังกฤษทุกคน และยืนยันว่าหากมีโอกาสเขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสอง

"ความผิดพลาดมันทำให้ผมต้องการที่จะลงเล่นและแก้ไขมัน คุณต้องเป็นลูกผู้ชายและยืนหยัดเพื่อรับการทดสอบ ผมจะเตรียมพร้อม เพราะผมอยากลงเล่น ผมต้องการเกมมากๆ ผมอยากเล่นทุกนัดที่เหลืออยู่ มัน คือ เวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผมจะพยายามเป็นสองเท่า และเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน" กรีน กล่าว 

 8

แต่ความจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้นทีมจิตวิทยาของอังกฤษเปิดเผยภายหลังว่าสภาพจิตใจของ กรีน ในเวลานั้นพังทลายเกินกว่าจะลงเล่นไปรับความกดดันแบบเดิมๆได้ และตัว คาเปลโล่ เองก็จำใจต้องใช้งานให้เดวิด เจมส์ ก้าวขึ้นมาเป็นมือ 1 ของทีมแทนในอีก 2 นัดที่เหลือของรอบแบ่งกลุ่ม เพราะผลงานของกรีน มันแสดงออกตั้งแต่การฝึกซ้อมแล้วว่า เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มีความประหม่าเกิดขึ้นอย่างชัดเจน แตกต่างกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้แบบคนละขั้ว ปากกล้าขาสั่น คือ สิ่งที่ กรีน เป็น คาเปลโล่ มองไปในดวงตาของเขาและเห็นความกลัวซ่อนอยู่มากมาย 

"ที่อังกฤษผู้รักษาประตูได้รับการปฎิบัติที่โหดร้ายราวกับพวกเขาเป็นปีศาจ ตำแหน่งนี้หากผิดพลาดครั้งเดียวคือจบเลย จากฮีโร่คุณก็จะกลายเป็นไอ้โง่ได้ง่ายๆ" ทิม ฮาเวิร์ด นายทวารของอเมริกา ที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกให้สัมภาษณ์กับสื่อในบ้านเกิด ซึ่งมันคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับกรีน จริงๆ 

แปลกแต่จริงที่ภาพลักษณ์ความเฟอะฟะติดตัว กรีน ตลอดไปหลังจากนั้น เขาไม่เคยได้กลับมาเป็นนายทวารมือ 1 ของอังกฤษอีกเลย ทว่าในทางตรงกันข้ามอังกฤษเก็บ 4 แต้มจาก 2 เกมที่เหลือในรอบแบ่งกลุ่ม และพวกเขาผ่านเข้ารอบเป็นรองแชมป์กลุ่มเข้าไปพบกับ เยอรมัน 

 9

ในตอนนั้นทุกคนเลิกเถียงกันเรื่องของ กรีน ไปแล้วเพราะหลังจากจบเกมทื่ อังกฤษ แพ้เยอรมัน 1-4 ผู้เล่นของอังกฤษแทบทุกคนก็โดนสับเรียงตัว ซึ่งหากจะว่ากันตรงๆแล้ว สื่อและแฟนบอลอังกฤษเล่นงานทุกอย่างที่ขวางหน้าตั้งแต่เรื่องของกรรมการจากลูกยิงไกลของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่บอลข้ามเส้นไปแล้วแต่ไม่ได้ประตู ไปจนถึง คาเปลโล่ และทีมงานที่โดนแฉภายหลังว่า ทำงานกันด้วยหัวใจที่ไม่เต็มร้อย เพราะในระหว่างเกมที่ อิตาลี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขาลงเเข่งขัน คาเปลโล่ เองก็เปิดโทรทัศน์เชียร์ทัพ อัซซูรี่ ต่อหน้านักเตะอังกฤษจน เวย์น รูนี่ย์ ต้องออกมาบ่นในภายหลัง ส่วนความผิดพลาดของ กรีน ในนัดเปิดสนามก็หลบฉากหายไปในกลีบเมฆ

บอลแพ้อะไรก็แย่ไปหมด มันเป็นธรรมดาเมื่อแฟนบอลคาดหวังไว้สูง และสื่ออังกฤษก็ถือเป็นดาบสองคม ยามฟอร์มดีพวกเขาก็พร้อมจะยกยอดั่งเป็นเทพเจ้า แต่ถ้าพลาดและตกต่ำเมื่อไหร่พวกเขาเองนั่นแหละที่รอซ้ำเป็นดาบแรกเสมอ...

วิบากกรรมของนายทวารทีมชาติอังกฤษ 

จากที่เคยมีข่าวว่าจะได้ไปเล่นให้กับอาร์เซน่อล โรเบิร์ต กรีน เข้าสู่ช่วงอาชีพที่แตกต่างจากก่อนไปฟุตบอลโลกอย่างชัดเจน อาจจะบอกว่าขาลงไม่ได้ แต่ความผิดพลาดครั้งนั้น ถือว่าเป็นทางตันสำหรับอาชีพของเขา เขาตกชั้นกับ เวสต์แฮม ใน 1 ปีหลังจากนั้น และลุ่มๆดอนๆย้ายทีมขึ้นๆลงๆระหว่างพรีเมียร์ลีกกับเดอะแชมเปี้ยนชิพ เรียกได้ว่ามีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้น 

 10

"คาเปลโล่ ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครคือมือ 1 ตัวจริงของเขา พอ กรีน ทำพลาดและโดนตำหนิ นักวิจารณ์ก็เริ่มบอกว่าทำไมไม่ใช้ โจ ฮาร์ท ล่ะ เพราะสถิติในลีกดีที่สุดเเล้ว" บ็อบ วิลสัน อดีตผู้รักษาประตูของทีมชาติสก็อตแลนด์แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ผู้เล่นทีมชาติอังกฤษทุกคนจะต้องเจอ สิ่งนั้น คือ ความกดดัน

แฟนฟุตบอลของอังกฤษนั้นจำแม่นกับความผิดพลาดแต่ละครั้ง เดวิด เจมส์ เคยถูกเรียกว่า "ภัยพิบัติ เจมส์" จากความผิดพลาดที่มีให้เห็นบ่อยครั้งในนัดสำคัญๆ, พอล โรบินสัน ไม่เคยกลับมาอยู่จุดสูงสุดของตัวเองอีกเลยจากการเตะบอลพลาดและบอลกระดอนเข้าประตูในเกมที่อังกฤษแพ้ให้กับ โครเอเชีย, สก็อตต์ คาร์สัน ผิดพลาดคล้ายๆกันจากลูกยิงไกลของ นิโก้ ครานชาร์ จนทำให้ อังกฤษ ไม่ได้ไปเล่นยูโร 2008 จากนั้นเขาก็ชีพจรลงเท้าย้ายทีมไปเรื่อยๆ หรือแม้แต่ เดวิด ซีแมน เองก็เคยถูกมองว่าหมดยุคจากการโดนโรนัลดินโญ่ ยิงฟรีคิกข้ามหัวในฟุตบอลโลกปี 2002 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษในระยะ 20 ปีให้หลัง...ถ้าพวกเขาพลาด พวกเขาจะกลายเป็นภาพจำทันที และทุกคนที่ได้กล่าวมาผิดพลาด และไม่สามารถกลับมาได้แม้แต่คนเดียว 

สิ่งเดียวที่จะทำให้ภาพจำเหล่านั้นลบหายไปได้คือการระเบิดฟอร์มสยบคำวิจารณ์แบบที่ เบ็คแฮม หรือ รูนี่ย์ เคยทำไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็กับตามกับผู้รักษาประตูมันแตกต่างกันกับผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ เพราะโอกาสแก้ตัวของพวกเขามีน้อยกว่า พวกเขาไม่สามารถเติมเกมขึ้นไปยิงประตูชัยให้กับทีมได้ มีเพียงการเซฟเท่านั้นที่พอทำได้ แต่ก็อีกนั่นแหละอย่างที่ ฮาเวิร์ด บอกพลาด 1 ครั้งก็เพียงพอที่จะลบ 10 สุดยอดลูกเซฟก่อนหน้านี้ที่เคยทำไว้ได้ 

 11

ทุกอย่างประกอบกันล้วนเเต่เป็นปัญหาที่ทำให้อังกฤษกับผู้รักษาประตูที่ไว้ใจได้ 100% ยังคงเป็นเส้นขนานจนถึงทุกวันนี้ พวกเขายังไม่มีประตูชาวอังกฤษที่ลงเล่นเกมเเชมเปี้ยนส์ลีกทุกสัปดาห์เลยนับตั้งแต่ปี 2010 ทีมใหญ่ๆที่เล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปต่างเลือกนายทวารต่างชาติมาก่อนทั้งสิ้น ซึ่งมันก็สอดคล้องกับที่ กาซิยาส บอก การได้เล่นให้ทีมใหญ่มันคือการได้ทดสอบตัวเองสำหรับการวิ่งชนความกดดันและการจับจ้องจากสื่อและแฟนบอล และหากสามารถรับมือกับมันได้ก็จะทำให้พวกเขามีภูมิต้านทานมากขึ้นกับเกมระดับทีมชาติ

ภาระยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้นเท่านั้น นี่คือสิ่งที่นักกีฬาอาชีพทุกคนล้วนรู้ดี... แต่สำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตูของทีมชาติอังกฤษนั้นบางครั้งภาระนั้นก็หนักหนาจนต้องการคนที่พิเศษจริงๆเพื่อจะมารับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดดังที่กล่าวมา... 

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ ภาพจำที่ลบไม่ออก : "โรเบิร์ต กรีน" กับความผิดพลาดครั้งเดียวในทีมชาติอังกฤษ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook