"จอร์จ โฟร์แมน" : ผู้แพ้ที่พบความลับของ "มูฮัมหมัด อาลี"

"จอร์จ โฟร์แมน" : ผู้แพ้ที่พบความลับของ "มูฮัมหมัด อาลี"

"จอร์จ โฟร์แมน" : ผู้แพ้ที่พบความลับของ "มูฮัมหมัด อาลี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ผมต่อยเขาเข้าที่กรามแบบจังๆ แล้วแท้ๆ มันเป็นหมัดที่สมบูรณ์แบบ แต่คุณรู้ไหมเขาพูดอะไรหลังจากนั้น ... 'แกได้แค่นี้เองเหรอจอร์จ?'" จอร์จ โฟร์แมน เล่าถึงไฟต์ระหว่างเขากับ มูฮัมหมัด อาลี ในปี 1974

ในวงการมวยรุ่นยักษ์ยุค ‘70s มีคำถามที่ไม่มีใครเข้าใจในคำตอบดังขึ้นในหัวนักมวยเฮฟวี่เวตยุคนั้นแทบทุกคน นั่นคือคำถามที่ว่า "ทำไม อาลี ถึงไม่ยอมล้มให้กรรมการนับ 10?" เพราะแม้อาลีจะเคยถูกต่อยจนร่วงพื้นอยู่บ้าง เขาก็จะกลับมายืนสองขาเพื่อสู้ต่อได้เสมอ ถึงจะมีไฟต์ที่แพ้ แลร์รี่ โฮล์มส์ แบบไม่ครบยกในปี 1980 ก็ตาม แต่ไฟต์เดียวที่แพ้ลักษณะนั้น ก็เกิดขึ้นจากการที่พี่เลี้ยงโยนผ้าขาวยอมแพ้

 

โฟร์แมน คือหนึ่งในคนที่สงสัยในเรื่องนี้ เพราะเขาเคยชกกับ อาลี มาก่อน และตัวของเขาในเวลานั้นถูกเรียกว่ามวยหมัดหนักอันดับ 1 ของยุค จอมน็อคเอาต์ที่ไร้คู่ต่อกร และยังมีเข็มขัดแชมป์แขวนอยู่สองเส้น แต่ทำไมทุกอย่างที่กล่าวมาจึงไม่มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่ชื่อว่า มูฮัมหมัด อาลี?

ติดตามได้ที่นี่

ความอิจฉาในสิ่งที่ไม่เข้าใจ

ค่ำคืนหนึ่งใจกลางเมืองใหญ่ จอร์จ โฟร์แมน ในสภาพที่ปล่อยเนื้อตัวเผละ เดินเข้าไปในร้านตัดผมและตัดสินใจตัดผมที่ชี้ฟูเป็นเอกลักษณ์ของเขาทิ้งไป ... เพื่อเริ่มพิสูจน์บางสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด ด้วยการเดินลงไปปะปนกับผู้คนบนท้องถนน

 1

"เฮ้ยทุกคน ผมคือ จอร์จ โฟร์แมน เป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวต" เขาตะโกนลั่นถนนแต่ผู้คนก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ทุกคนเร่งรีบในสิ่งที่ต้องทำสำหรับแต่ละชีวิต มันทำให้ โฟร์แมน แทบเป็นบ้า ... เขานิ่งคิดสักพักและตะโกนไปอีก 1 ประโยคว่า

"ผมได้ชกกับ มูฮัมหมัด อาลี นะโว้ย" ... หลายฝีเท้าที่ก้าวเริ่มหยุดนิ่งและหันมามองที่ โฟร์แมน ผู้คนเริ่มร้องอ๋อ ... "คนนี้นี่เองที่ขึ้นชกกับ อาลี" นั่นคือมุมมองที่ผู้คนมีต่อเขา ซึ่งตัวของ โฟร์แมน ไม่เข้าใจว่าทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นแชมป์โลกมวยสากลรุ่นเฮฟวี่เวต 3 สถาบัน (WBA, WBC, IBF) แถมยังได้ฉายาว่าผู้ไร้เทียมทาน ทว่าเมื่อออกจากนอกสังเวียนแล้ว หากไม่ใช่คอมวย ทำไมชื่อของเขาจึงไม่โด่งดังและป๊อปปูล่าร์เหมือนกับ มูฮัมหมัด อาลี

ย้อนกลับไปในยุคนั้น โฟร์แมน ถือว่าเป็นฝันร้ายของคู่ชกทุกคนในรุ่น เขาคือตำนานหมัดหนักอันดับ 1 แห่งยุค การออกหมัดจากหัวไหล่ ร่างกายสูงใหญ่ ได้เปรียบช่วงชกและรูปร่างที่ไร้ไขมัน ทุกครั้งที่ โฟร์แมน เดินขึ้นเวที เขาดึงหน้ายักษ์ไร้รอยยิ้มและให้กล้ามแขนที่ใหญ่กว่าต้นขาของใครหลายๆ คนบอกเองว่าสิ่งที่จะได้เห็นจากเขาทันทีที่เสียงระฆังดังนั้นคืออะไร

สิ่งหนึ่งที่ โฟร์แมน หงุดหงิดมากคือทั้งๆ ที่เขาเองก็เก่งกว่าและสดกว่า (อาลี แก่กว่า โฟร์แมน 7 ปี) แต่ทำไมเขาจึงไม่ได้การยอมรับเทียบเท่า ทั้งๆ ที่ อาลี ในเวลานั้นไม่มีเข็มขัดแชมป์โลกติดตัวเลยด้วยซ้ำ แถมยังเคยแพ้มาแล้วถึง 2 หนกับ โจ เฟรเซียร์ และ เคน นอร์ตัน 

สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้และพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเขาดีกว่าคือ เขาต้องชกกับ อาลี และคว่ำอาลีด้วยหมัดน็อคให้ได้แบบไม่ให้ค้านสายตา

The Rumble in the Jungle

เรื่องนี้มันเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1967 หลังจากแชมป์โลกอย่าง อาลี โดนปลดเข็มขัดแชมป์และโดนขับออกจากวงการมวยเป็นเวลากว่า 3 ปี เนื่องจากการปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ เพื่อไปรบในสงครามเวียดนาม 

 2

หลังโทษแบนผ่านพ้น อาลีกลับมาขึ้นชกเพื่อหวังทวงเข็มขัดแชมป์ของตัวเองกลับคืนมา แต่ความจริงช่วงนั้นคือ 3 ปีที่ขาดหายไปทำให้ อาลี ไม่เหมือนคนเก่า จริงอยู่ที่เขายังเก่งและเป็นนักชกอัจฉริยะ แต่สิ่งที่หายไปคือความรวดเร็วและสัญชาตญาณนักฆ่าที่หล่นหายไปจากช่วงร้างสังเวียน

ในเวลาเดียวกันกับที่ อาลี อยากทวงคืน ก็เป็นช่วงเดียวกับที่นักสู้ดาวรุ่งอย่าง โฟร์แมน สร้างชื่อในเวทีมวยสากลสมัครเล่น โฟร์แมน คว้าเหรียญทองโอลิมปิกกับทีมชาติสหรัฐอเมริกาในปี 1968 ตามรอยอาลีซึ่งเคยทำไว้เมื่อ 8 ปีก่อนหน้า และสิ่งที่เขาเล็งเป็นเป้าต่อไปคือสิ่งเดียวกันกับที่อาลีต้องการ "ราชาเฮฟวี่เวต" คือเป้าหมายที่นักสู้ 2 คน คนหนึ่งขาขึ้นและอีกคนขาลงต้องแย่งชิงกัน 

โฟร์แมน แทบไม่ต้องเสียเวลาปรับอะไรมากนัก เพราะสไตล์ของเขาเป็นมวยลุยอยู่แล้ว ว่ากันว่าหมัดของเขาถือว่าเป็นหมัดที่หนักที่สุดตลอดกาลในวงการเฮฟวี่เวต สูสีกับตำนานอย่าง โจ หลุยส์ เลยทีเดียว

มันไม่ใช่แค่เรื่องของการยกยอผ่านสื่อเท่านั้นเพราะ โฟร์แมน เทิร์นโปรและใช้เวลาคว้าแชมป์โลกด้วยการน็อค โจ เฟรเซียร์ ชายผู้เคยเอาชนะ อาลี มาแล้ว ในปี 1973 ด้วยการน็อคเอาต์ตั้งแต่ยกที่ 2 กระชากเข็มขัดแชมป์โลก WBA, WBC มาครอง ก่อนเก็บ เคน นอร์ตัน ชายคนที่สองที่ชนะอาลีได้โดยใช้เวลาเพียง 2 ยกเท่ากันในเดือนมีนาคม 1974

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา จะบอกว่า โฟร์แมน คือยอดมวยแห่งยุคก็คงสามารถพูดได้อย่างไม่เคอะเขิน ดังนั้นมันจึงไปเข้าตา ดอน คิง โปรโมเตอร์หัวเสธ. อันดับ 1 ของวงการมวย เขามีสัญญาของ อาลี อยู่ในมือและในช่วงที่ อาลี กำลังจะเดินทางสู่ขาลงรวมถึงเริ่มถูกมองว่า "ไม่เก่งเหมือนเก่า" จะมีอะไรลบล้างคำวิจารณ์ดังกล่าวได้ดีไปกว่าการคว่ำแชมป์โลกพลังหนุ่มอย่าง "บิ๊ก จอร์จ" อีก

เป็นอีกครั้งที่เป้าหมายของทั้งคู่คล้ายๆ กัน โฟร์แมน อยากจะคว่ำ อาลี เพื่อให้ทุกคนเลิกสงสัยสักทีว่าเขายังไม่เจอของจริง ขณะที่ อาลี นั้นก็ต้องการเอาสิ่งที่เคยเป็นของเขากลับมา นั่นคือเข็มขัดแชมป์โลกซึ่งตอนนี้มันอยู่ที่เอวของ โฟร์แมน ดังนั้นเองก็ต่อยกันเสียให้มันจบๆ ไปคือทางออกที่ดีที่สุด แน่นอนว่า เงินชนเงินแบบนี้มีหรือที่ ดอน คิง จะไม่รีบจัดให้สาสมใจแฟนมวย 

 3

แม้จะฉลาดแกมโกง แต่ถ้าเป็นเรื่องของการจัดแมตช์มวยที่ทำเงินแล้ว ดอน คิง ไม่แพ้ใคร ศึกระหว่าง โฟร์แมน กับ อาลี ครั้งนี้ ถูกร่างขึ้นอย่างรอบคอบและอ่านสถานการณ์ทะลุปรุโปร่ง เขาจับมือกับ เจอร์รี่ มาซุชชี่ เจ้าของค่ายเพลงเพื่อให้ศิลปินของยุคนั้นอย่าง Fania All Star มาเล่นคอนเสิร์ตในสังเวียนเดียวกันก่อนที่มวยจะชกด้วย และสังเวียนที่ ดอน คิง เลือกคือประเทศ ซาอีร์ (ปัจจุบันคือประเทศ ดีอาร์ คองโก) ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการชิงแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตเกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา

มันคือไฟต์มวยที่น่าสนใจและ เจอร์รี่ มาซุชชี่ ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ ดอน คิง ร่างให้เขาดู แต่พอ มาซุชชี่ จะตอบตกลง ดอน คิง ก็บอกว่า "ผมเอามวยคู่นี้มาต่อยได้แต่คุณต้องให้เงินผม 5 ล้านเหรียญ"... ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องฟิตซ้อม ไม่ต้องขึ้นชก ดอน คิง เอานักมวยของตัวเองไปขายและได้เงินก้อนโตเข้ากระเป๋าแบบสบายใจเฉิบ 

ไม่จบแค่นั้น ดอน คิง จับเสือมือเปล่าด้วยการเข้าหา โมบูตู เซเซ เซโก ผู้นำเผด็จการของ ซาอีร์ เพื่อขอให้ช่วยออกแรงจัดงานนี้ และเรื่องถูกส่งต่อไปยัง มูอัมมาร์ กัดดาฟี่ เผด็จการจากลิเบีย จนกระทั่งกลายเป็นว่าค่าจัดการส่วนต่างๆ มาจากเงินของกลุ่มเผด็จการทั้งหมด ...

ไม่มีการเปิดเผยว่า อาลี และ โฟร์แมน ได้ค่าขึ้นชกคนละเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ มันจะต้องเป็นเงินก้อนโตมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่ข้ามทวีปมาชกกันได้แน่นอน ดอน คิง ประกาศอย่างชัดเจนว่า ไฟต์เพื่อชิงความเป็นหนึ่งของวงการมวยรุ่นเฮฟวี่เวตจะเกิดขึ้นในวันที่ 29 ตุลาคม 1974 โดยใช้ชื่อว่า "The Rumble in the Jungle" (ดังเปรี้ยงสนั่นป่า)

มั่นใจเหมือนกัน...แต่ต่างกัน (?)

โฟร์แมน มองว่า อาลี คือขนมสำหรับเขาในตอนนั้น เขาเริ่มพิจารณาจากคู่ชกที่เคยเอาชนะ อาลี ทั้ง นอร์ตัน และ เฟรเซียร์ ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ต่างโดน โฟร์แมน น็อคสบายๆ ทั้งหมด

 4

"ผมไม่เคยแพ้ใครมาก่อน ผมไปอยู่จุดนั้นด้วยความมั่นใจสูงลิบว่าจะต้องชนะเขาได้ ผมผ่านคนที่ชนะเขามาได้ทั้งหมด ก่อนที่ไฟต์นั้นจะเริ่ม สิ่งที่ผมคิดคือ 'ผมจะยั้งมือเพื่อเมตตาเขา (อาลี) สักหน่อยดีไหม?'" โฟร์แมน บอกเล่าถึงเรื่องราวก่อนชกในภายหลัง

ความมั่นใจของ โฟร์แมน ต่างกับ อาลี อยู่อย่างหนึ่ง... แม้จะผ่านจุดพีคมาแล้วแต่ อาลี ก็ยังคงเป็น อาลี ที่ก่อนขึ้นชกเขาจะทำตัวราวกับว่าสบายใจไม่รู้ร้อนรู้หนาว หากใครถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นในไฟต์ที่จะถึง อาลี จะเป็นนักชกที่พูดด้วยความมั่นใจเสมอ เขาไม่กลัวที่จะแสดงความ "ห้าว" ผ่านหน้าสื่อหรือในที่สาธารณะ  

โฟร์แมน คิดในใจ แต่ อาลี ขอพูดมันออกมาเลยดีกว่า และการที่เขาเป็นเช่นนี้จึงทำให้คู่ชกเขาของแต่ละคนเริ่มมองหน้าเขาด้วยความเกลียดชังเป็นจุดเริ่มต้นเสมอ

"โลกจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากผมในไฟต์นี้ ผมไปปล้ำกับจระเข้ ผมพิฆาตปลาวาฬ ผมฉีกกุญแจมือทิ้งด้วยความไวสายฟ้าแล่บ ผมปาสายฟ้าถล่มห้องขัง อ้อ แล้วสัปดาห์ก่อนผมเพิ่งฆาตกรรมก้อนหิน แม้แต่ยาแก้ไข้เห็นพวกมันยังป่วยแทนเลย" อาลี เริ่มยียวนตามสไตล์ก่อนจะทิ้งประโยคเด็ดถึง โฟร์แมน ว่า

"เอาเถอะ ถ้าคุณคิดว่าโลกตกใจที่ประธานาธิบดีนิกสันลาออก (จากพิษคดี วอเตอร์เกต ก่อนหน้าไฟต์จะเกิดขึ้นเพียง 2 เดือน) แล้วล่ะก็ ผมอยากบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ รอสักนิดจนไฟต์ระหว่างผมและโฟร์แมนจบลงก่อนเถอะ รับรอง เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้นแน่"

 5

แม้จะยียวนแค่ไหนแต่น่าแปลก ยิ่ง อาลี ขี้อวดขี้โอหังมากขึ้นเท่าไหร่ แฟนๆ หมัดมวยและทุกคนกลับรักเขามากขึ้นเท่านั้น และทุกคนที่ขึ้นชกกับ อาลี จะกลายเป็นตัวร้ายไปโดยปริยาย ซึ่งในไฟต์นี้ตัวร้ายคือ จอร์จ โฟร์แมน 

"อาลี ฆ่ามันเลย!" (Ali, bomaye!) นี่คือเสียงเชียร์จากชาว ซาอีร์ ที่มีต่อ อาลี ทุกที่ที่เขาไป

ความสามารถที่น่าประหลาดอีกอย่างคือ อาลี เปลี่ยนตัวเองจากมวยรองเป็นมวยต่อแบบหน้าตาเฉย เขาทำให้ โฟร์แมน ผู้ถือเข็มขัดแชมป์โลกไร้ตัวตนใน "ศึกดังเปรี้ยงสนั่นป่า" ...  สิ่งที่น่าสงสัยคือทำไมความนิยมระหว่างทั้งคู่มันกลับตาลปัตรกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบันได้ขนาดนั้นกันแน่?

เกลียดหนักเข้าไปอีก...

The Rumble in the Jungle เริ่มอย่างที่ทุกคนคาดการณ์เพราะ โฟร์แมน ในสมัยนั้น ไม่ต่างอะไรกับ ไมค์ ไทสัน ในช่วงปลายยุค '80s ถึงต้น '90s กล่าวคือเป็นมวยสายหนัก ใครโดนจังๆ รับรองไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง ดังนั้น โฟร์แมน จึงเป็นคนเดินหา อาลี ในขณะที่ อาลี ใช้ความเร็วทั้งหมดที่มีอยู่หลบหลีกและแย็บขวาจิ้มเข้าหน้า โฟร์แมน เป็นระยะๆ เพื่อหยั่งเชิง

 6

จนกระทั่งยกที่สอง อาลี ยักคิ้วให้พี่เลี้ยงของเขาและบอกว่า "ผมมีแผนลับสำหรับโฟร์แมน" อาลี เตรียมเล่นนอกบทจากที่ติวกันมา เมื่อเขาจะไม่วิ่งฟุตเวิร์กและใช้ความเร็วเหมือนกับที่เคยทำ ...

ระฆังยกสองดังขึ้น เขาทำให้คนดูตาค้างกันหมดด้วยการเปิดหน้าให้มนุษย์หมัดหนักอย่าง โฟร์แมน จ้วงแล้วจ้วงอีก ทว่ามันไม่เข้าเป้าด้วยแผนลับที่ตั้งใจเอามาปล่อยในไฟต์นี้ นั่นคือการใช้เชือกช่วยในการเด้งตัวหลบหรือที่เรียกว่า "Rope-a-dope" ซึ่งกลายเป็น ซิกเนเจอร์ของ อาลี ในภายหลังจากไฟต์ดังกล่าว

Rope-a-dope กลายเป็นกุญแจสำคัญของไฟต์นี้ อาลี ใช้มันกินพลังของ โฟร์แมน จนเกลี้ยงถัง หมัดของ โฟร์แมน เบาลงเรื่อยๆ และตัวของคนชกก็เหนื่อยไปเอง ในขณะที่ โฟร์แมน หมดแรง อาลี ทำในสิ่งที่สร้างความเกลียดหนักเข้าไปอีก

"ไม่เอาน่า จอร์จ มีคนบอกว่าแกต่อยเป็นนี่หว่า? ฉันได้ยินมาว่าหมัดแกหนักพอๆ กับ โจ หลุยส์ เลยไม่ใช่เหรอ?" อาลี ยิ้มเยาะพร้อมกับยั่วยุ โฟร์แมน ... ทั้งๆ ที่ความจริงเขาไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ เพราะการยั่วยุทำให้ โฟร์แมน กลับมาฮึดสู้แบบจริงจังอีกครั้ง ซึ่งตัวของ อาลี จะได้รู้ว่ามันจะอันตรายขนาดไหนถ้า โฟร์แมน โกรธ

เพราะเมื่อถึงยกที่ 7 โฟร์แมน รวมกำลังเฮือกสุดท้ายซัดเปรี้ยงใส่กรามของ อาลี อย่างจัง ตัวของ โฟร์แมน มั่นใจมากว่ามันจะต้องจบตรงนั้นเพราะเขาเชื่อในพลังหมัดของตัวเอง น้อยครั้งมากที่เขาจะปล่อยให้เกมยืดเยื้อเกินยกที่ 5 แบบนี้ หมัดดังกล่าวที่เขาพุ่งใส่ อาลี คือหมัดที่ โฟร์แมน ยอมรับว่าเขาไม่รู้ว่าต่อยหนักขนาดนี้มาก่อน

“ผมต่อยเขาเข้าที่กรามแบบจังๆ แล้วแท้ๆ มันเป็นหมัดที่สมบูรณ์แบบ แต่คุณรู้ไหมเขาพูดอะไรหลังจากนั้น ... 'แกได้แค่นี้เองเหรอจอร์จ?'" โฟร์แมน เล่าเรื่องนี้ในภายหลัง

 zzz

ช็อค หมดแรงข้าวต้ม และท้อ คือสิ่งที่ โฟร์แมน เป็นเมื่อยกที่ 7 หมดลง และทันทีที่เสียงระฆังยกที่ 8 ดัง "เป๊ง" โฟร์แมน เดินออกจากมุมด้วยสภาพไม่ต่างจากซอมบี้ ไหล่ตก แข้งขาอ่อนไปหมดด้วยการฟ้องจากท่าเดิน ... อาลี พิงเชือกด้วยงานที่ง่ายกว่าเดิมเยอะเพราะหมัดของ โฟร์แมน ในตอนนี้เบายังกับนุ่น แถมปล่อยหมัดช้าเหมือนคนน้ำหนัก 200 กิโลกรัม เสียอีก

อาลี อ่านสถานการณ์ทะลุปรุโปร่ง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ Rope-a-dope กับนักมวยที่แทบเดินไม่ไหวอีกแล้ว อาลี พลิกตัวมาเป็นฝ่ายบุกและใช้การแย็บง่ายๆ ติดกัน 5 หมัด เท่านี้ก็มากพอจะทำให้ จอร์จ โฟร์แมน โดนนับ 10 และเสียเข็มขัดแชมป์โลกทันที

ตาสว่างหลังความพ่ายแพ้

การแพ้ในขณะที่มั่นใจสุดๆ ทำให้ โฟร์แมน หงุดหงิดมากในตอนแรก เขากลับไปทบทวนว่าทำไมหมัดที่เขาต่อย อาลี ในยกที่ 7 ซึ่งเป็นหมัดที่หนักที่สุดเท่าที่เขาเคยต่อยใครสักคน กลับส่ง อาลี ลงไปนับ 10 ไม่ได้ ...

 8

"หลังจากความพ่ายแพ้ในปี 1974 ผมคร่ำครวญเพราะผมอยากจะเป็นเหมือนเขา ผมถามตัวเองว่าผมได้เรียนรู้อะไรจากเขาบ้างในไฟต์นั้น สิ่งที่ผมตระหนักได้คือ นี่คือครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมเผชิญกับชายที่ไม่สามารถเอาชนะได้" โฟร์แมน กล่าว 

โฟร์แมน มองย้อนกลับไปในวันที่เขายังไม่ได้เป็นนักชกอาชีพ เขานึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นที่ดู อาลี ชกผ่านโทรทัศน์ และตอบตัวเองว่า "ทำไมตอนนั้นเราถึงชอบดูการชกของ มูฮัมหมัด อาลี นัก?"

"ตอนผมยังเด็ก อาลี เป็นนักชกคนโปรดที่ต้องดูผ่านโทรทัศน์เสมอ เขาเป็นคนที่เรียกตัวเองว่า "ไอ้หน้าหล่อ" (Pretty) เขาบอกว่าตัวเองรูปหล่อ เขาเล่นมายากลด้วยฟุตเวิร์ก เขาเล่าเรื่องตลกและทำให้คนอื่นหัวเราะ และมันทำให้คุณไม่อยากจะละสายตาจากเขา ... มีอยู่ 2 อย่างกับคนที่ได้ดู อาลี ชก คือหากคุณไม่รักเขาคุณก็จะอิจฉาเขาไปเลย" โฟร์แมน เริ่มรู้แล้วว่าเขารู้สึกอิจฉาอาลี และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า "อาลี คือแชมป์มหาชน" ไม่ใช่แค่ "แชมป์มวยโลก" เหมือนกับนักมวยคนอื่นๆ 

เมื่อคิดได้ดังนั้นคำตอบทุกอย่างก็ชัดเจนมากขึ้น เมื่อเขามองย้อนกลับไปแต่ละสิ่งที่ผ่านมาโดยเอาสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองและอาลีมาเทียบกัน ...

"ผมยังจำได้ในวันที่ผมเป็นแชมป์เฮฟวี่เวต จริงๆ แล้วนักมวยยุคนั้นไม่ได้อยากถูกเรียกว่าแชมป์หรอก แต่ที่พวกเราทุกคนต้องการถูกเรียกคือ 'คนที่พิชิตอาลีได้'" โฟร์แมน เริ่มเล่า

"การคว่ำอาลีคือสิ่งที่นักมวยในยุคนั้นต้องการ แต่ความจริงคือไม่มีใครที่เอาชนะเขาได้หรอก แม้กระทั่งคุณสามารถชนะเขาบนสังเวียนได้ คนอื่นๆ ก็จะบอกว่า อาลี ไม่สมควรแพ้... และถึงแม้ อาลี จะเป็นคนแพ้ แฟนๆ ก็ยังอยากได้ลายเซ็นกับอ้อมกอดจาก อาลี มากกว่าคุณอยู่ดี"

พลังลับของ อาลี

ความแตกต่างระหว่าง อาลี กับนักมวยคนอื่นคืออะไร? สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนไฟต์ที่ ซาอีร์ สามารถนำมาอ้างอิงได้เป็นอย่างดี ...

 9

เมื่อเครื่องบินลงจอดที่ ซาอีร์ จอร์จ โฟร์แมน ลงจากเครื่องพร้อมสุนัขสายพันธุ์ เยอรมันเชพเพิร์ด ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ชาวเบลเยียมใช้ควบคุมชาวซาอีร์ ในสมัยยุคล่าอาณานิคม

โฟร์แมน นั่งรถหรูยี่ห้อ Citroen มาจากโรงแรมหรูที่สุดในประเทศอย่าง อินเตอร์คอนติเนนตัล เพื่อไปยังสนามแข่งขัน ตลอดช่วงเวลาในซาอีร์ เขาระวังตัวแบบสุดขีด ไม่ทักทาย ไม่โอภาปราศัย และไม่ลองอะไรที่แปลกหู แปลกตา แปลกลิ้นโดยเด็ดขาด ซึ่งสิ่งว่านั้น คือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทวีปแอฟริกา และซาอีร์ ประเทศที่เป็นสังเวียนในการชก

"ขอโทษทีนะ ผมไม่จับมือกับคุณหรอก" โฟร์แมนพูดกับ นอร์แมน เมลเลอร์ นักข่าวท้องถิ่น "เห็นไหมเนี่ย ก็มือผมล้วงกระเป๋าอยู่" Bleacher Report อ้างว่า โฟร์แมน เป็นนักมวยที่อ่านทางยากในการให้สัมภาษณ์หรือการเข้าถึงตัว  

ในการซ้อมของ โฟร์แมน เขาปิดห้องเงียบสนิทไม่ให้ใครได้เห็น เหตุผลเพราะเขาต้องการมีสมาธิกับการชกให้มากที่สุด มันจำเป็นมากที่การเก็บตัวและวางตัวจะดูใจร้ายกับสื่อและแฟนๆ เพราะยิ่งเขามีสมาธิมากเท่าไหร่ ผลงานการชกของเขาก็ดีขึ้นเท่านั้น 

โฟร์แมน จะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิดเพราะเขาคือนักมวยแชมป์โลก ถ้าไม่โฟกัสกับการชกก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะบนเวทีไม่มีใครช่วยเขาได้นอกจากตัวเขาเอง ... ทว่านั่นแหละคือสิ่งที่ อาลี ไม่เคยทำ 

อาลี วางตัวคนละแบบกับ โฟร์แมน อย่างชัดเจน เขาสามารถเข้าถึงคนท้องถิ่นที่เป็นชาวแอฟริกันเหมือนกับเชื้อสายของเขา และตัวของ อาลี ก็เช่าบ้านพักตากอากาศอยู่ข้างๆ แม่น้ำซาอีร์ 

เขามักจะใช้เวลาว่างออกไปเดินเล่นในย่านชุมชน ใช้เวลาครั้งหนึ่งก็หลายชั่วโมง มีกิจกรรมร่วมกับชุมชนทั้งการเล่นดนตรี และไปเยี่ยมเยียนเด็กๆ ในโรงเรียนต่างๆ นอกจากนี้เขายังอนุญาตให้คนอื่นๆ เข้ามาดูเขาฝึกซ้อมที่โรงยิมได้อีกด้วย การให้สัมภาษณ์ของเขา แต่ละประโยคที่ฝากถึงพี่น้องชาวซาอีร์ก็เป็นถ้อยคำชวนฝันทั้งสิ้น 

"แอฟริกาคือบ้านของผม ... ผมขอประณามอเมริกา ใช่ ผมอาจจะอาศัยอยู่ในอเมริกา แต่แอฟริกาคือบ้านของคนดำอย่างเราๆ ทุกคน" นี่คือส่วนหนึ่งที่ อาลี ให้สัมภาษณ์ระหว่างที่ใช้เวลาเก็บตัวใน ซาอีร์ ทั้งหมดถึง 55 วัน 

เขากลายเป็นเนื้อเดียวกับคนท้องถิ่นที่นั่นไปแล้ว และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงเป็นพระเอกและชาวซาอีร์ที่เข้าไปชมไฟต์นั้นต่างพร้อมใจตะโกนคำว่า "Ali, bomaye!"

โฟร์แมน สู้เพื่อชื่อเสียงและเงินทองแบบฉบับนักมวยทั่วไป ขณะที่ อาลี นั้นสู้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีอุดมการณ์ นี่คือความแตกต่างระหว่าง อาลี และนักชกคนอื่นๆ ที่โลกรู้จัก

 10

"ผมกับ โจ เฟรเซียร์ (นักชกที่สู้กับ อาลี ถึง 3 ครั้ง) ก็เหมือนกัน เราต่างเกลียดความจริงที่ว่าลึกๆ แล้วพวกเรารักและเคารพในตัวของเขา" โฟร์แมน ยอมรับว่าอิทธิพลต่อคนรอบข้างของ อาลี ทำให้ไม่สามารถมีนักมวยคนไหนเลียนแบบได้

"คือมันไม่ได้เกี่ยวเลยว่าเขาเป็นนักมวยที่ยอดเยี่ยม เอาล่ะเขาเก่งจริง แต่ก็มีคนเก่งกว่าเขาไม่น้อยนะ แต่ความยิ่งใหญ่ของ อาลี คือสิ่งที่เขาทำต่างหาก มวยก็แค่เรื่องเล็กๆ ที่เขาทำได้ ตอนที่ผมมีเข็มขัดแชมป์โลก อาลี เริ่มแสดงตัวในการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่ ไม่ว่าเขาจะไป ยุโรป, แอฟริกา, ซาอุดิอาระเบีย ทุกคนอยากจะสัมผัสเขา"

ยิ่งได้เพ่งพิจารณาหลายอย่างก็ยิ่งจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โฟร์แมน นั่งย้อนความหลังไปถึงไฟต์ที่ ซาอีร์ เริ่มทบทวนสิ่งต่างๆ ตั้งแต่วันแรกที่เครื่องบินลงจอดที่นั่น เขาจึงพอเข้าใจว่าเหตุผลที่ อาลี ไม่ร่วงจากหมัดที่หนักที่สุดในชีวิตของเขาคือ อาลี มีชีวิตอยู่เพื่อความสวยงามของโลกนี้ และแบกความหวังของแฟนๆ ทุกคนเสมอ

 11

"อาลี ไม่สามารถร่วงได้เพราะมีผู้คนอีกเป็นล้านที่ดันเขาจากด้านหลัง" โฟร์แมน ผู้เคยเชื่อว่าชีวิตนักมวยนั้น "ซ้อมคนเดียว สู้คนเดียว" กล่าวถึง อาลี นักสู้ที่เป็นเส้นขนานของเขา

"บางครั้งร่างกายก็อยู่ได้ด้วยพลังของจิตวิญญาณ ที่แอฟริกาวันนั้น ทุกคนตะโกนเรียกชื่อเขา เมื่อนั้นเขาจึงไม่ยอมล้มลง ในเวลาที่มีคนอื่นสวดภาวนาเพื่อคุณ เมื่อนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องยากที่ใครจะเอาชนะคุณได้"

"ไม่ใช่แค่วงการมวยหรือประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น มูฮัมหมัด อาลี คือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว เขาไม่ใช่แค่นักชก แต่เขาคือของขวัญของโลกใบนี้" โฟร์แมน กล่าวทิ้งท้าย

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ "จอร์จ โฟร์แมน" : ผู้แพ้ที่พบความลับของ "มูฮัมหมัด อาลี"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook