ฆัวกิน ซานเชซ รักแรกและรักเดียวที่เบติส

ฆัวกิน ซานเชซ รักแรกและรักเดียวที่เบติส

ฆัวกิน ซานเชซ รักแรกและรักเดียวที่เบติส
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในวัย 38 ปี ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายในฐานะนักเตะอาชีพ บางคนอาจจะเป็นเพียงตัวสำรองในลีกสูงสุด บางคนย้ายไปโกยเงินในลีกอย่าง จีน, อาหรับ, หรืออเมริกา หรือบางคนอาจจะลงเล่นให้กับทีมเล็กๆ ในลีกรองของประเทศ

แต่ไม่ใช่สำหรับ ฆัวกิน ซานเชซ ปีกระดับตำนานของ เรอัล เบติส ที่กำลังเฉิดฉายในลีกสูงสุดของสเปน จากผลงาน 6 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์จาก 18 นัดในครึ่งแรกของฤดูกาล แถมเพิ่งทำแฮตทริคได้ในเกมพบ แอธเลติก บิลเบา เมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว 

ฆัวกิน อาจจะมีผลงานที่ดีบ้างแย่บ้าง ในสีเสื้อของ บาเลนเซีย, มาลากา, และฟิออเรนตินา แต่กลับต่างออกไปเมื่อมีตราของเบติสอยู่ที่หน้าอกซ้าย ไม่ว่าจะเป็นสมัยดาวรุ่ง หรือในวัยใกล้ 40 ปี 

และนี่คือการได้รักและการเป็นคนที่ถูกรักของ ฆัวกิน กับสโมสรจากแคว้นอันดาลูเซีย ติดตามเรื่องราวนี้ไปพร้อมกับ Main Stand

รักแรกพบ 

ความรักของ ฆัวกิน เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเขาอายุ 16 ปี เมื่อเขาต้องใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงเดินทางจาก เอล ปูเอตา เด ซานตา มาเรีย บ้านเกิดในจังหวัดกาดิซ ไปเมืองเซบียา เพื่อซ้อมกับทีมเยาวชนของ เรอัล เบติส เป็นประจำทุกวัน  


Photo : www.estadiodeportivo.com

“ผมใช้เวลาไม่นานที่ได้เริ่มรักสีนี้ มันคือความฝันของผมตั้งแต่เด็กที่จะฝึกและเล่นให้กับสโมสร เมื่อคุณโชคดีพอที่ได้ทำมัน คุณก็จะรักมันตลอดไป” ฆัวกิน กล่าวกับ BBC Sports 

ฆัวกิน ประเดิมสนามให้กับ เบติส ตั้งแต่อายุ 19 ปี และแค่เพียงฤดูกาลแรกเขาก็ลงเล่นให้ทีมไปถึง 38 นัด ยิงไป 3 ประตู พร้อมช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาอยู่ในลาลีกา ลีกสูงสุดของสเปน  หลังตกชั้นไปแค่ปีเดียว 

การได้ขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุด ทำให้เขาได้มีโอกาสโชว์ของมากขึ้น ลีลาการลากเลื้อยที่ยอดเยี่ยมในพื้นที่ริมเส้น กลายเป็นอาวุธสำคัญของเบติส ในการเล่นงานคู่แข่งจนช่วยให้ทีมจบในอันดับ 6 ของตาราง พร้อมได้สิทธิ์ลุยสโมสรยุโรปอย่างยูฟ่า คัพอย่างเซอร์ไพร์ส 

ด้วยผลงานที่โดดเด่น ทำให้ ฆัวกิน มีชื่อเป็นหนึ่งใน 23 ขุนพลทีมชาติสเปน ชุดลุยฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมพบทีมชาติแอฟริกาใต้ในรอบแรก ก่อนจะมีชื่ออีกครั้งในรอบก่อนรองชนะเลิศที่พบกับเกาหลีใต้ 


Photo : bleacherreport.com

แต่น่าเสียดายที่เกมนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวอื้อฉาวมากมาย ที่เกิดจากการเป่าเอนเอียงของผู้ตัดสิน รวมไปถึงจังหวะที่ ฆัวกิน ลากบอลไปถึงริมเส้น ก่อนเปิดให้ เฟร์นันโด มอริเอนเตส โหม่งเข้าไป ซึ่งผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงว่าบอลออกไปแล้ว ทั้งที่วิดีโอย้อนหลังยืนยันชัดเจนว่าบอลยังไม่ข้ามเส้น แถมฆัวกิน ยังเป็นคนเดียวที่ยิงจุดโทษพลาด และทำให้สเปนต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบนี้   

อย่างไรก็ดี มันไม่ได้ทำให้ ฆัวกิน ยอมแพ้ ในทางกลับกัน ยิ่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นในสโมสร ปีกจอมลากเลื้อย ยังคงทำคงทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา และเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของ เบติส 

เขาช่วยให้ เบติส จบในครึ่งบนของตาราง ก่อนที่ในฤดูกาล 2004-2005 เขาจะระเบิดฟอร์มด้วยการพาทีมคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ และผ่านเข้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร 


Photo : www.estadiodeportivo.com

ผลงานที่ยอดเยี่ยม ทำให้ ฆัวกิน กลายเป็นหนึ่งในแข้งเนื้อหอมคนหนึ่งของยุโรป ในปี 2003 เขาเกือบจะย้ายไปสวมเสื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เช่นเดียวกับ เรอัล มาดริด ในยุค กาลาติกอส แต่เพราะความรักทำให้มันไม่เคยเกิดขึ้น

“บางครั้งพ่อของผมก็ยังพูดว่า ความรักที่ผมมีต่อเบติส ทำให้ผมพลาดโอกาสครั้งสำคัญหลายครั้ง” ฆัวกินกล่าวกับ BBC Sports 

“ผมรู้ว่าผมพลาดโอกาสไปเล่นให้กับทีมใหญ่ มันอาจจะดี แต่พอม้องย้อนกลับไป ผมเห็นว่าโชคชะตามันไม่ได้กำหนดไว้อย่างนั้น” 

“บางครั้งผมยังคงถามตัวเองว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมย้ายไปมาดริด มันเป็นเรื่องจริงที่เกือบจะเกิดขึ้นจริงๆ เกือบมาก แต่ผมก็แค่รู้สึกว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นสำหรับผม” 

ทว่า การย้ายทีมก็เกิดขึ้นจนได้ในปี 2006 

 

ไม่ถูกรัก 

หลังจากเฉียดไปเฉียดมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุด ฆัวกิน ก็ต้องมีเหตุต้องอำลาถิ่น เอสตาดิโอ เบนิโต บียามาริน ในช่วงหน้าร้อนปี 2006 หลัง บาเลนเซีย ทุ่มเงินกว่า 25 ล้านยูโร กระชากตัวเขาไปร่วมทีม พร้อมทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ “ค้างคาว” ในตอนนั้น 


Photo : www.number1sport.es

อย่างไรก็ดี เขากลับไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งสมัยเล่นให้กับ เบติส ได้เลย ฆัวกิน มีผลงานที่ดีบ้าง แย่บ้างสลับกันไปตลอด 5 ฤดูกาลกับบาเลนเซีย ในยุคที่สโมสรเต็มไปด้วยปัญหาและความวุ่นวาย จากเรื่องหนี้สิน และการเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมบ่อยครั้ง 

“ความทรงจำของผมคือเขาเป็นผู้เล่นที่มีระดับ เป็นนักเตะที่สง่างามมาก ด้วยศักยภาพที่ล้นเหลือ แต่ที่บาเลนเซีย เขาถูกขอร้องให้ทำงานหนักขึ้น” คายตาโน รอส กล่าว นักข่าวและผู้ประกาศข่าวฟุตบอลสเปน ย้อนความหลังกับ Bleacher Report

“ผมจำได้ว่า กิเก ซานเชซ ฟลอเรส คือผู้จัดการทีมที่เซ็นเขามา เขาเคยบอกเขาว่าเขาต้องการให้ฝึกความสามารถโดยรวม เขาอยากให้เขา (ฆัวกิน) ทำงานหนักขึ้น” 

“นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหา ฆัวกิน มาสโมสรในช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิง มีปัญหามากมายในระดับผู้บริหาร พวกเขามีหนี้สะสมมากมาย โค้ชก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบภายในทีม เขามีค่าตัวมหาศาล 25 ล้านยูโร สโมสรจึงคาดหวังฟอร์มการเล่นของเขาเหมือนกับซูเปอร์สตาร์ แต่เขาไม่เคยไปถึงจุดนั้น เขาเป็นผู้เล่นที่ดี แต่ไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์” 


Photo : www.zimbio.com

ยิ่งไปกว่านั้น การมาถึงของ โรนัลด์ คูมัน ที่เข้ามาแทน กิเก ฟลอเรส เมื่อปี 2007 ยังทำให้สถานการณ์ของ ฆัวกิน ย่ำแย่ลงไป แม้จะยังเป็นแกนหลักของทีม แต่ความคิดของเขา แทบจะไม่เคยเห็นตรงกับกับกุนซือชาวเนเธอร์แลนด์ 

“เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคูมัน คูมันไม่ต้องการเขา และฆัวกิน ก็พูดจารุนแรงกับคูมัน เขากล่าวหาคูมันว่าเป็นคนเมา และไม่เป็นมืออาชีพ ปัญหาสำหรับฆัวกิน คือ เขาไม่มีโค้ชคนไหนที่บาเลนเซียที่เข้าใจเขา” 

ในปี 2011 ฆัวกิน ตัดสินใจอำลา บาเลนเซีย ด้วยการย้ายไปร่วมทีม มาลากา พร้อมค่าตัว ราว 4 ล้านยูโร ในยุคที่ได้เศรษฐีจากกาตาร์มาเทคโอเวอร์ ร่วมกับนักเตะชื่อดังอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย, เจเรมี ตูอาลอง และ ซานติ กาซอร์ลา 


Photo : www.zimbio.com

แม้ ฆัวกิน จะทำผลงานได้ไม่เลว จนช่วยให้ทีมจบในอันดับ 4 ของตาราง พร้อมผ่านเข้าไปเล่นใน แชมเปียนส์ลีก แต่ยังห่างไกลจากฟอร์มสมัยที่เขาเล่นให้กับเบติส เขาอยู่กับมาลากา 2 ฤดูกาล ก่อนจะย้ายไปหาความท้าทายในอิตาลีกับ ฟิออเรนตินา ในฤดูกาล 2013

หลังจากผจญภัยในลีกแดนมะกะโรนี 2 ปี เขาก็ตัดสินใจหวนคืนสู่ถิ่นเก่าอีกครั้งกับ เบติส ด้วยวัย 34 ปี ตอนแรกหลายฝ่ายคาดว่าเขาน่าจะแก่เกินแกงสำหรับสโมสร และอาจเป็นแค่ผู้เล่นที่ส่งลงมาประคองรุ่นน้องในช่วงท้ายเกม ทว่า พวกเขาเหล่านั้นต้องคิดผิด... 

 

รักเราไม่เก่าเลย 

หลังจากอำลาทีมไป 10 ปี ฆัวกิน ก็มีโอกาสกลับมาเล่นในถิ่น เอสตาดิโอ เบนิโต บียามาริน อีกครั้งในปี 2015 โดยเซ็นสัญญายาว 3 ปี และเขาก็ตอบแทนความไว้ใจของสโมสร ด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีม 


Photo : tirelessmidfielder.wordpress.com

ตลอด 4 ฤดูกาลครึ่งกับ เบติส ในการกลับมาคำรบสอง เขาทำไปถึง 21 ประตูกับ 23 แอสซิสต์ จาก 156 นัด แถมยังช่วยให้ เบติส ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลยุโรป ยูฟ่า ยูโรปาลีก เมื่อฤดูกาล 2018-2019 และเข้าไปถึงรอบ 32 ทีมสุดท้าย 

สิ่งหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่า เขาไม่ได้ถูกเซ็นสัญญาเพื่อมาเป็นอะไหล่ แต่กลับมาเป็นตำนานสโมสรอีกครั้ง ปัจจุบัน เขารั้งอยู่ในอันดับ 5 ของนักเตะที่ลงสนามมากที่สุดตลอดกาลของลาลีกา ด้วยผลงาน 535 นัด โดยมากกว่าผู้รักษาประตูอย่าง อิเกร์ กาซิยาส เสียอีก 

กุญแจสำคัญที่ทำให้ ฆัวกิน ยังคงเฉิดฉายในลีกระดับท็อปของยุโรป คือการเห็นคุณค่าในตัวเขาจาก กิเก เซเตียน อดีตกุนซือของเบติส ที่ดึงตัวเขากลับมาจากฟิออเรนตินา และทำให้เขาไม่ได้เป็นแค่นักเตะผู้ร่วงโรยที่รอวันแขวนสตั๊ด

“เซเตียนเป็นโค้ชที่ชอบในฟุตบอลที่สวยงาม เขาแตกต่างจาก ซานเชซ ฟลอเรส ตัวอย่างเช่น เขาเป็นคนที่ชอบนักฟุตบอลที่เน้นพละกำลัง เป็นนักสู้ คนที่ทำงานหนัก แต่ฆัวกินไม่ได้เป็นนักเตะแบบนั้น” รอสกล่าว

การได้เจอคนที่เข้าใจ ทำให้ ฆัวกิน สามารถเค้นศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่ แม้ เซเตียน จะอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาล 2019 แต่ภายใต้การคุมทีมของ รูบี เขาก็ยังได้รับอิสระอยู่เหมือนเดิม 

นอกจากนี้การดูแลตัวเองอย่างเข้มงวด และการปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่น ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อดีตดาวรุ่งของวงการฟุตบอลสเปน สามารถระเบิดฟอร์มออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในวัยใกล้เลข 4 ก็ตาม


Photo : www.90min.com

ผลงานล่าสุดของ ฆัวกิน คือการทำแฮตทริค ช่วยให้ เบติส เอาเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา ไปได้ 3-2 เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ทำแฮตทริคได้ในลาลีกา ในวัย 38 ปีกับ 140 วัน ทำลายสถิติเดิมของ อันเฟรด ดิ สเตฟานโน ตำนานของเรอัล มาดริด ด้วยวัย 37 ปี 255 วันที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 1964 

“ถ้าคุณไม่ได้เป็นผู้เล่นที่มีระดับ คุณจะไม่สามารถเล่นได้อย่างต่อเนื่องในเกมระดับสูงกับอายุเช่นนี้” มานู ซาอินซ์ นักข่าวจาก Diario AS กล่าวกับ Bleacher Report 

“มันแสดงให้เห็นว่าเขาดูแลตัวเอง ซึ่งทำให้เขายังเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ มันน่าสนใจที่เขาสามารถสร้างรูปแบบใหม่ของตัวเอง ตอนนี้เขาเล่นเกมรุกอยู่ตรงกลาง ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในพื้นที่จำกัดคือริมเส้น มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อสำหรับผู้เล่นในวัย 36-37 ปี ที่จะสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ในฐานะนักฟุตบอลในสไตล์ที่ต่างออกไป” 

“ตอนผู้เล่นอายุเท่านี้ สิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นกำลังวังชาของพวกเขาเริ่มจะหายไปและตาย ตัวทำประตูจะทำประตูไม่ได้ กองหลังจะช้าลง แต่ฆัวกินค้นพบทักษะใหม่ เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง และยังคงเป็นกำลังสำคัญต่อไป เขายังคงเล่นในระดับสูงสุด ในดิวิชั่น 1 ของสเปน และในยูฟ่า ยูโรปาลีก เขาไม่ได้เล่นอยู่ในซาอุดิอาระเบีย” 

“ผมไม่คิดว่าเขาจะฉลาดขนาดนี้ ที่จะสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ในฐานะนักฟุตบอลที่แตกต่างไปจากเดิม มันชัดเจนมากว่าเขาเข้าใจฟุตบอลจริงๆ” 


Photo : www.zimbio.com

ล่าสุด ฆัวกิน เพิ่งจะได้รับการตอบแทนผลงานที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ ด้วยการต่อสัญญาใหม่ไปจนถึงปี 2021 ที่จะทำให้เขามีอายุ 40 ปี ตอนครบสัญญา  

“ผมยังจำวันแรกที่ฆัวหิน เล่นให้เบติส มันคือตอน 14-15 ปีก่อน พ่อของเขาบอกกับเราว่าชายคนนี้จะเล่นจนอายุ 40 เราไม่เชื่อเขา แต่ความคิดของเขาไม่ได้เพ้อเจ้อแล้วในวันนี้” ราฟาเอล ปิเนดา นักข่าวจาก EL Paris กล่าว Bleacher Report 

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขายืนหยัดมาได้ถึงทุกวันนี้ 

 

คนที่เรารักและคนที่รักเรา 

ในวันที่เขาเปิดตัวกับเบติส เมื่อปี 2015 มีแฟนบอลกว่า 20,000 คนในสนาม เอสตาดิโอ เบนิโต บียามาริน มาคอยให้การต้อนรับเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ว่า ฆัวกิน จะอำลาทีมไปถึง 10 ปี แต่ความรักของแฟนบอลที่มีต่อตัวเขามันไม่เคยลดลงเลย


Photo : www.90min.com

“เขาเป็นศิลปิน เป็นผู้ให้ความบันเทิงและเป็นคนที่พิเศษ” ราฟาเอล ปิเนดา ที่เคยสัมภาษณ์เขาเมื่อปี 2000 อธิบายกับ Bleacher Report 

ด้วยบุคลิกที่เป็นคนชอบล้อเล่น ชอบอำ และมักปรากฎตัวด้วยสีหน้าที่เปื้อนยิ้ม ทำให้เขากลายเป็นที่รักโดยง่ายในหมู่แฟนบอลของเบติส ในขณะเดียวกัน แฟนบอลก็รู้จักเขาในฐานะคนตลกโปกฮา 

หลายปีก่อน เขาไปออกรายการ  El Hormiguero รายการโทรทัศน์ยอดฮิตของสเปน ในระหว่างการสัมภาษณ์ เขาได้โชว์การสะกดจิตแม่ไก่ จนเรียกเสียงฮาจากคนในห้องส่งมาแล้ว 

“เขาเป็นที่รักในเซบียา เขามาจากครอบครัวเล็กๆ และทำให้ทุกคนในครอบครัวร่ำรวย แต่เขาไม่เคยแอ๊คว่าตัวเองเป็นดารา เขาเป็นคนธรรมดา ติดดินมาก ที่มักจะอยู่ในงานการกุศล หรืองานที่ถูกชวนให้ทำ เขาเป็นคนแบบนั้น เมื่อไม่มีฟุตบอล เรามักจะเห็นเขาอยู่ในสื่อหรือทางโทรทัศน์”  ปิเนดากล่าวต่อ 

อย่างไรก็ดีมันไม่ใช่แค่ความรักที่แฟนบอลมีต่อตัวฆัวกินฝ่ายเดียว ในทางกลับกัน เขาเองก็พยายามตอบสนองต่อความรักเหล่านี้ ด้วยการพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับ เรอัล เบติส สโมสรอันที่เป็นที่รักสำหรับเขาเช่นกัน 

ตอนที่เซ็นสัญญากับ เบติส เมื่อปี 2015  ฆัวกิน ไม่ได้กลับมาในฐานะนักเตะและกัปตันทีม เท่านั้น แต่เขามาในฐานะหนึ่งในผู้ถือหุ้นของสโมสร หลังควักเงินกว่า 1 ล้านยูโร เพื่อซื้อหุ้น 2 เปอร์เซ็นต์ของทีม 

มันเป็นโครงการของ แองเคล ฮาโร และ โฆเซ มิเกล โลเปซ คาตาลัน สองนักธุรกิจที่เข้าเทคโอเวอร์ทีมเมื่อ 3 ปีก่อน และตัดสินใจเปิดขายหุ้นกว่า 14,000 หุ้นให้แฟนบอล โค้ช และอดีตนักเตะได้จับจอง เพื่อเป็นเงินทุนให้สโมสรได้เติบโตต่อไป  


Photo : www.transfermarkt.com

“มันคือการตอบแทนอะไรบางอย่างหลังเบติสมอบทุกอย่างให้แก่ผม ผมรู้สึกและเป็นส่วนหนึ่งกับสโมสรแห่งนี้ ตอนที่มีการขายหุ้น ผมอยากมีส่วนร่วมกับมัน” ฆัวกินกล่าวกับ BBC Sports 

“ตอนนี้ผมล้อเล่นกับเพื่อนร่วมทีมว่าผมเป็นเหมือนกับบอส แต่จริงๆผมอยากให้เพื่อนร่วมทีมเป็นส่วนหนึ่งกับผม ผมพยายามที่จะทำให้พวกเขารู้สึกแบบนี้ อย่างที่ผมรู้สึก เพื่อเข้าใจว่ามันมีความหมายต่อผู้คนมากมาย และเพื่อมอบอะไรพิเศษบางอย่างในสนาม” 

มันคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ ฆัวกิน ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเอง เพราะ เบติส ไม่ได้เป็นแค่สโมสรที่จ่ายเงินเดือนให้เขาอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นครอบครัว และแน่นอนเป็นสโมสรที่เขารัก 

มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพยายามทำงานหนัก เพื่อรักษาสภาพร่างกายของตัวเองให้เล่นกับ เบติส ให้นานที่สุด และลงเล่นอย่างเต็มที่ทุกครั้งที่ได้รับโอกาสลงสนาม

“กุญแจสำคัญคือผมยังรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับวันแรกที่ได้เล่น ผมพยายามทำงานหนัก ผมรู้ถึงความสำคัญ และการได้ลงสนามก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สภาพจิตใจดี ซึ่งส่วนนี้ก็ไปช่วยในเรื่องของร่างกาย” ฆัวกิน กล่าวกับ BBC Sports 

“ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจกับอะไรเลยกับสิ่งที่เคยทำลงไปในโลกของฟุตบอล ผมอาจจะเคยเล่นให้กับทีมอื่น หรือย้ายไปอยู่กับทีมที่ใหญ่กว่า แต่การตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสุขของผมและครอบครัว ผมไม่ได้คิดเรื่องเงินเลย” 


Photo : @OptaJose

สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนความรักที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีให้กัน ทั้งคนที่ฆัวกินรัก และคนที่รักฆัวกิน จนกลายเป็นพลังขับเคลื่อน ที่ทำให้ ฆัวกิน สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปัจจุบัน แม้จะมีอายุ 38 ปีก็ตาม  

“ฆัวกินคือสัญลักษณ์ของสโมสร เมื่อเขาเล่น เขาทำให้ทีมรู้สึกปลอดภัย ด้วยพลัง ด้วยความรัก” อันโตนิโอ เบรีย แฟนบอลของเบติส กล่าวกับ BBC Sports 

“ผมหวังว่าเขาจะเล่นจนอายุ 40 เขามีสภาพร่างกายที่ดีมากๆ เหมือนที่ ไรอัน กิกส์ เคยทำ”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook