[OPINION] ย้อนรอย "เฟร์นันโด ตอร์เรส" : ใครว่า "เอล นินโญ" ล้มเหลวที่เชลซี?!

[OPINION] ย้อนรอย "เฟร์นันโด ตอร์เรส" : ใครว่า "เอล นินโญ" ล้มเหลวที่เชลซี?!

[OPINION] ย้อนรอย "เฟร์นันโด ตอร์เรส" : ใครว่า "เอล นินโญ" ล้มเหลวที่เชลซี?!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เพิ่งจะประกาศแขวนสตั๊ดไปเมื่อปีก่อนนี้เอง สำหรับแข้งเลือดกระทิงดุ เฟร์นันโด ตอร์เรส กองหน้าซูเปอร์สตาร์ที่ผ่านประสบการณ์กับสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย ทั้ง แอตเลติโก มาดริด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, เอซี มิลาน จนกระทั่งมาปิดฉากชีวิตการค้าแข้งที่ ซากัน โทสุ ทีมในศึกเจลีกประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงกลางปี 2019 ที่ผ่านมา

ซึ่งเรื่องราวของ "เอล นินโญ" นั้น แน่นอนว่ามีมากมายชนิดที่พูดกันทั้งวันก็ไม่จบ แต่วันนี้เราจะหยิบยกประเด็นที่มีคนถกเถียงกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งมาวิเคราะห์ในอีกแง่มุมที่คุณอาจยังไม่เคยทราบมาก่อน ในประเด็นที่ว่า จริงหรือ? ที่ตอร์เรสล้มเหลวกับเชลซี?

a

ก็อย่างที่กล่าวไป ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็มักจะเป็นหัวข้อที่นำมาถกเถียงกันอยู่บ่อยๆ เมื่อพูดถึงกองหน้าวชาวสเปนรายนี้ ซึ่งมันคงต้องเท้าความไปก่อนหน้านั้น ช่วงที่เจ้าตัวระเบิดฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจกับลิเวอร์พูลตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีก โดยตลอด 3 ปีครึ่งในถิ่นแอนฟิลด์ เขาซัดไปถึง 81 ประตูให้กับทัพหงส์แดงรวมทุกรายการด้วยกัน

จนกระทั่งเดือนมกราคมปี 2011 เชลซีจัดการทุบกระปุกควักเงินกว่า 52 ล้านปอนด์ กระชากตัวดาวยิงขวัญใจเดอะ ค็อป มาร่วมทีม จุดนี้แหละ! ที่หลายคนมองกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในชีวิตการค้าแข้งของเขาคนนี้ ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่ใครจะคิดเช่นนั้น เพราะแค่ครึ่งซีซั่นแรกกับสิงห์บลูส์เจ้าตัวก็ซัดไปทั้งสิ้น 1 ประตูถ้วนจากทั้งหมด 18 เกม ในนัดที่พบกับเวสต์แฮม ชนิดที่ได้สภาพสนามที่ชุ่มน้ำเป็นตัวช่วยให้ได้ประตูอีกต่างหากในวันนั้น

b

เกิดอะไรขึ้นกับเขา? แฟนๆสิงห์ไฮโซต่างตั้งคำถามในตัวของบุรุษเจ้าของค่าตัวกว่า 50 ล้าน หรือจะเป็นเพราะเพราะปัญหาความฟิต? การบาดเจ็บ? การปรับตัว? ซึ่งคนก็ตีความกันไปต่างๆ นานา กระทั่งฤดูกาลใหม่เริ่มต้นพร้อมกุนซือหน้าใหม่ไฟแรง อังเดร บียาส-โบอาส ทำให้แฟนบอลคาดหวังว่า นี่อาจจะเป็นนิมิตหมายอันดีที่ตอร์เรสจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่แล้วเหล่าแฟนคลับก็ต้องพบกับผิดหวัง ที่เจ้าตัวไม่สามารถคืนฟอร์มเก่งได้ และเห็นได้ชัดว่าความมั่นใจของเขานั้นหายไปจากเดิมมากพอสมควร แถมผลงานของทีมยังย่ำแย่ ทำให้บอร์ดเลือกที่จะปลดกุนซือหนุ่มจากปอร์โตออกไป และตั้ง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ เข้ามาคุมทีมแทน จนกระทั่งพาทีมพลิกสถานการณ์จบซีซั่นด้วยการคว้าแชมป์ติดมือมาถึง 2 รายการด้วยกัน ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่แน่นอน ผลงานส่วนตัวของตอร์เรสยังคงย่ำแย่ ยิงได้เพียง 12 ประตูจาก 49 เกมรวมทุกรายการเท่านั้น

c

ต่อมาในปี 2012/13 ช่วงต้นฤดูกาลเหมือนกับว่าเขาจะเริ่มคลำเป้าเจออีกครั้ง แต่แล้วกลางฤดูกาลก็กลับมาเงียบกริบเช่นเดิม กระทั่ง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ถูกปลด และเป็น ราฟา เบนิเตซ ชายผู้นำตัวเขามาสู่ลีกเมืองผู้ดีเข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งผลงานของตอร์เรสก็ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่จะยิงเยอะในฟุตบอลถ้วยเป็นส่วนใหญ่ จนสามารถคว้าแชมป์ยูโรปาลีก มาครองได้ในปีนั้น

จากนั้นปี 2013/14 ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ มูรินโญ หัวหอก No.9 ก็ยังคงไม่สามารถเรียกวิญญาณเพชฌฆาตกลับคืนมาได้ ด้วยผลงานเพียง 11 ประตูในทุกรายการ แถมทีมยังจบซีซั่นแบบมือเปล่า และปีนี้เองคือฤดูกาลสุดท้ายของเขาในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะซีซั่นต่อมาเจ้าตัวได้ถูกปล่อยตัวให้กับกับ เอซี มิลาน และ แอตเลติโก มาดริด ปิดตำนาน "เอล นินโญ" ในลีกสูงสุดแห่งเมืองผู้ดีนับจากนั้นเป็นต้นมา

r

ว่ากันมาซะยืดยาว แต่ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นเป็นมุมมองมุมหนึ่งที่แฟนๆฟุตบอลหลายคนมองชีวิตในลอนดอนของตอร์เรสว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่หากลองมองอีกมุมหนึ่งที่ต่างออกไป บางทีชีวิตภายใต้สีเสื้อน้ำเงินครามของเขา อาจจะไม่แย่ขนาดนั้นก็ได้ เริ่มจาก...

ครึ่งซีซั่นแรก แน่นอนว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเท่าใดนัก แต่ในปีต่อมาเจ้าตัวพยายามปรับสไตล์การเล่นให้มีประโยชน์กับทีมมากที่สุด แม้จะทำได้เพียง 11 ประตู แต่ก็สามารถแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมได้มากถึง 16 ครั้ง อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการช่วยทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประตูแห่งความทรงจำที่คัมป์ นู ในรอบ 4 ทีมสุดท้าย ที่แฟนๆสิงห์บลูส์ยกให้เป็นประตูมูลค่า 50 ล้านปอนด์กันเลยทีเดียว

o

ซีซั่นต่อมา หลังจากคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์, เอฟเอ คัพ และ แชมป์ยูโร 2012 กับทีมชาติสเปน พร้อมดีกรีดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์มาได้ ดูเจ้าตัวจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ราฟา เบนิเตซ เข้ามาคุมทีมชั่วคราวแทนที่ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ดูได้จากผลงานที่ทำไปถึง 22 ประตูกับ 11 แอสซิสต์ในทุกรายการ ซึ่งมากที่สุดในการค้าแข้งที่เมืองผู้ดีตลอด 8 ปี เป็นรองเพียงฤดูกาล 2007/08 สมัยอยู่กับลิเวอร์พูลเท่านั้น ที่ทำไปได้ 33 ประตูกับ 5 แอสซิสต์

นอกจากนี้ในซีซั่น 2012/13 นั้นเอง เจ้าตัวยังเป็นผู้ยิงประตูสำคัญช่วยเบิกร่องให้กับทีมในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า ยูโรปาลีก ที่พบกับเบนฟิกา จนสุดท้ายเกมจบลงด้วยชัยชนะของสิงโตน้ำเงินคราม สร้างประวัติศาสตร์คว้า 2 ถ้วยยุโรปในเวลา 2 ปีติดต่อกันได้สำเร็จ

dd

แน่นอนว่า ตอร์เรสอาจจะไม่ใช่กองหน้าที่ดีที่สุดของสโมสร แถมผลงานก็ค่อนข้างผิดไปจากความคาดหวังพอสมควรคล้ายกับเหล่าแข้งบิ๊กเนมในอดีต เช่น อังเดร เชฟเชนโก, เฮอร์นัน เครสโป, มาเตยา เคซมัน หรือแม้แต่ อัลบาโร โมราตา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ เอล นินโญ แตกต่างออกไปก็คือ ความมุ่งมันและทุ่มเทที่มอบให้กับสโมสรอย่างเต็มที่ ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างไม่ย่อท้อแม้จะถูกตำหนิติเตียนมากเพียงใด จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นส่วนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรได้สำเร็จ

แม้ เฟร์นันโด ตอร์เรส ไม่ได้ถูกจดจำในฐานะตำนานกองหน้าของเชลซี เหมือนอย่าง จิอันฟรังโก โซลา หรือ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ไม่มีเทสติโมเนียลแมทช์ หรือรูปปั้นอนุสาวรีย์ใดๆกับสโมสร แต่เชื่อได้เลยว่าผลงานที่เจ้าตัวฝากเอาไว้ รวมถึงความสำเร็จสูงสุดในยุคที่มีเขายืนตระหง่านเป็นหัวหอกตัวความหวังนั้น จะถูกจดจำและตราตึงอยู่ในหัวใจของแฟนบอลสิงโตน้ำเงินคราม ไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน...  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook