"เฟร์นันโด ซานซ์" : แข้งมาดริดที่ไม่เคยถูกยอมรับเพราะมีพ่อเป็นประธานสโมสร

"เฟร์นันโด ซานซ์" : แข้งมาดริดที่ไม่เคยถูกยอมรับเพราะมีพ่อเป็นประธานสโมสร

"เฟร์นันโด ซานซ์" : แข้งมาดริดที่ไม่เคยถูกยอมรับเพราะมีพ่อเป็นประธานสโมสร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การเกิดมาในครอบครัวที่พร้อมคือสิ่งที่ "เด็ก" เลือกไม่ได้ อยู่ที่โชคและชะตาจะนำพาให้พวกเขาลงมาเกิดในสภาพแวดล้อมแบบไหน ... ถ้าแย่ก็ต้องสู้กันหนักหน่อย แต่ถ้าเกิดมาในตระกูลที่เพียบพร้อม จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก?

อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้หากคุณถาม เฟร์นันโด ซานซ์ อดีตนักเตะของ เรอัล มาดริด ยุครุ่งเรือง คุณอาจจะได้คำตอบไปอีกแบบ ... 

เขาคือเด็กที่ขยัน, มุ่งมั่น เพื่ออยากจะพัฒนาตัวเองในฐานะนักเตะที่ดีของทีม ราชันชุดขาว ทว่าบารมีและอำนาจของผู้เป็นพ่อของเขาที่มีต่อสโมสร ทำให้เรื่องของฟุตบอลมันยากไปหมด จนไม่แปลกอะไรที่คุณอาจจะจำเขาไม่ได้ในฐานะนักเตะของ เรอัล มาดริด

นี่คือเรื่องราวของลูกชายของผู้ยิ่งใหญ่ ที่หนีแค่ไหนก็ไปไม่พ้นบารมีพ่อ ... ติดตามได้ที่นี่

ซานซ์ ซีเนียร์ ผู้ยิ่งใหญ่ 

ตระกูลซานซ์ เป็นตระกูลของนักฟุตบอลอย่างแท้จริง ผู้ชายในตระกูลนี้มีความสนใจด้านฟุตบอลมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ แม้ไม่ได้มีใครเก่งกาจจนมีชื่อเสียง แต่ที่แน่ๆ ความชอบนั้นส่งอิทธิพลมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน และคนที่ได้รับมันเพื่อสานต่อคือ ลอเรนโซ่ ซานซ์  


Photo : www.teinteresa.es

ลอเรนโซ่ ซานซ์ เติบโตขึ้นมาด้วยการเริ่มเป็นผู้รักษาประตูให้กับทีมระดับท้องถิ่น และเส้นทางของนักฟุตบอลก็จบแค่นั้น เพราะต่อให้อยากจะสานต่อแค่ไหน แต่เพราะการเกิดมาในตระกูลที่ไม่มีอันจะกิน แถมยังมีพี่น้องถึง 10 คน ทำให้เขาต้องหางานทำแทนในช่วงของการเป็นวัยรุ่น

ลอเรนโซ่ เริ่มจากการเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์ย่านใกล้ๆ กับ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว สนามเหย้าของ เรอัล มาดริด จากนั้นก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำสารพัด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานร้านตัดผม และต่อด้วยการเป็นพนักงานเข็นกระเป๋าในโรงแรมช่วงกะดึก ทุกอย่างที่ ลอเรนโซ่ ทำ บวกกับการใช้ชีวิตในแบบที่ประหยัดและศึกษาเรื่องการลงทุนเพิ่มเติม ทำให้เขาเริ่มมีวิชั่นในมุมของนักธุรกิจ จนกระทั่งทนหลังขดหลังแข็งมา 10 ปี เขาจึงมีเงินเก็บก้อนใหญ่จนได้ 

การมีเงินไม่ได้ทำให้เขาสุรุ่ยสุร่ายหรือให้รางวัลชีวิต แต่ ลอเรนโซ่ นำเงินที่มีทั้งหมดไปซื้อสำนักพิมพ์เจ้าหนึ่ง และพยายามต่อยอดมันจนกระทั่งประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 27 ปีเท่านั้น จากนั้นจึงเริ่มขยับมองไปถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำให้เขาโตได้ไวยิ่งกว่าธุรกิจสื่อหลายเท่า 

"ผมทำงานเดือนเดียวก็ได้เงินพอที่จะซื้อสำนักงานของตัวเองทั้งชั้นแล้ว" เขาเล่าให้กับสื่อในสเปนอย่าง Pozueloin ฟัง    

การทำเงินได้มากมายมหาศาลบ่งบอกถึงความสามารถและการมีหัวธุรกิจ แถมยังเป็นคนที่รักฟุตบอลอยู่แล้ว และเมื่อเขาได้พบกับ รามอน เมนโดซ่า นักธุรกิจเบอร์ใหญ่ที่กำลังจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานสโมสร เรอัล มาดริด ในยุค 80's ก็กลายเป็นว่าเคมีทั้งสองคนตรงกัน จนตัวของ เมนโดซ่า ต้องการให้ ลอเรนโซ่ เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานของเขา 

ลอเรนโซ่ เป็นเหมือนมือขวาที่ทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอด การมีเขาอยู่ข้างๆ ทำให้ เมนโดซ่า บริหารงานจน เรอัล มาดริด ชุดนั้นได้ก้าวขึ้นมาเป็นระดับ "โคตรทีมของสเปน" ตลอด 10 ปี ที่ เมนโดซ่า นั่งตำแหน่งประธาน มาดริด กดแชมป์ลีกมาถึง 6 สมัย แชมป์บอลถ้วยในประเทศอีก 2 สมัย และเมื่อถึงปี 1995 สโมสรก็ได้มีวาระเลือกตั้งประธานสโมสรขึ้นมาใหม่ งานนี้ เมนโดซ่า เตรียมถอยฉากมาเป็นเบื้องหลัง และดันเอา ลอเรนโซ่ ซานซ์ มือขวาของเขาขึ้นมาสวมหัวโขนแทน โดยจะต้องชิงตำแหน่งกับคู่แข่งอย่าง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ 

ลูกพี่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ลอเรนโซ่ ขายนโยบายบอกกับแฟนๆ มาดริด ว่ายุคของ เมนโดซ่า พวกเราเป็นอันดับ 1 ในประเทศแล้ว แต่ต่อจากนี้หากเขาได้เป็นประธาน สิ่งที่จะตามมาคือแชมป์ยุโรปที่สโมสรไม่เคยสัมผัสมาตั้งแต่ปี 1966 ... เท่านั้น ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ก็แพ้ตั้งแต่มุ้งยังไม่กางแล้ว 

"เป็นการเริ่มต้นทำงานที่ยาก สโมสรมีปัญหาเรื่องเงินมากในตอนนั้น ซึ่งเมื่อผมเข้ามา เรารีบไปปิดดีลกับสื่อโทรทัศน์ ขายลิขสิทธิ์ต่างๆ นานา จากนั้นก็ได้มีการฉีดเงินเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้ต่างๆ ที่ต้องชำระด้วย" ลอเรนโซ่ กล่าวต่อ 

ณ เวลานั้นมีการยืนยันว่าเขาใช้เงินส่วนตัวซื้อสตาร์อย่าง เปแดร็ก มิยาโตวิช และ ดาวอร์ ซูเคอร์ เข้ามาร่วมทีม และจากนั้นเมื่อแก้ปัญหาเรื่องภายในเรียบร้อย ลอเรนโซ่ ก็ได้เครดิตยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อทีมราชันชุดขาว สามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้ถึง 2 สมัย (ปี 1997-98 และ 1999-2000) 


Photo : www.madrid-barcelona.com

ทุกสิ่งที่อย่างที่ "ซานซ์ ซีเนียร์" ได้สร้างไว้ในช่วงเวลา 5 ปี คือสุดยอดช่วงเวลาที่เป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่แห่งยุคของ เรอัล มาดริด แน่นอนเขาไม่ได้ใจแฟนๆ ไปเสียทุกคนหรอก แต่ความสำเร็จครั้งนั้นทำให้เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดผู้บริหารอย่างแท้จริง โดยเฉพาะนโยบาย "เลือดข้นกว่าน้ำ" ที่ให้ความสำคัญกับนักเตะที่มีอิทธิพลหรือโตมากับสโมสร อาทิ ราอูล กอนซาเลซ รวมถึงกัปตันทีมอย่าง เฟร์นันโด เอียร์โร่ ด้วย 

ทว่าบนความสำเร็จกองใหญ่ กลับมี 1 เรื่องที่กวนใจ "ซานซ์ ซีเนียร์" มาโดยตลอด มันเป็นเรื่องราวของลูกชายคนโตของเขา เฟร์นันโด ซานซ์ ที่เข้ามาอยู่ในระบบอคาเดมีของทีมตั้งแต่ตอนที่ "ซานซ์ ซีเนียร์" ยังเป็นมือขวาของเมนโดซ่า ... ยิ่ง เฟร์นันโด โตขึ้นเท่าไหร่ พ่อของเขาก็สร้างความสำเร็จให้ทีมขึ้นมากเท่านั้น และสำหรับเด็กที่กำลังขึ้นรุ่น มันเป็นสิ่งที่น่าปวดใจเมื่อทุกคนในทีมไม่ได้รู้จักเขาในฐานะ เฟร์นันโด ลูกหม้อของทีม แต่กลับรู้จักในชื่อของ "ซานซ์ จูเนียร์" หรือลูกชายของท่านประธานมากกว่า ... และตัวของ ลอเรนโซ่ เองก็เคยบอกว่า ลูกชายของเขาไม่มีวันเล่นได้ถูกใจแฟนๆ ตราบใดที่เขายังเป็นประธานสโมสร

ซานซ์ จูเนียร์ ผู้น่าสงสาร 

หากไม่มีนามสกุล "ซานซ์" เฟร์นันโด อาจจะถูกพูดถึงในแง่อนาคตของสโมสรก็ได้? เขาอยู่กับทีมมาตั้งแต่อายุ 16 ปี เล่นมาตั้งแต่ทีมชุดซี, ชุดบี และชุดใหญ่ ทว่าทุกครั้งที่เขาลงเล่น เขามักจะโดนทุกสายตากดดันเสมอ หากเขาทำพลาด เขาจะถูกเรียกว่า "เด็กเส้น" ที่ถูกส่งลงสนามโดยใบสั่งของผู้เป็นพ่อ 


Photo : www.defensacentral.com

อย่างไรก็ตามถ้ายอมแพ้และถอดใจไปเลยมันก็ไม่ช่วยอะไร เฟร์นันโด พยายามทำงานหนักในส่วนของเขามาโดยตลอด จนได้ขึ้นชุดใหญ่ในปี 1996 หลังจากที่พ่อเป็นประธาน 1 ปี 

ความพยายามทำให้ เฟร์นันโด ได้ลงเล่นเคียงข้างกับนักเตะอย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส, ราอูล กอนซาเลซ, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ เฟร์นันโด เอียร์โร่ แถมยังเคยได้รับการโค้ชชิ่งจากกุนซือระดับเซียนทั้ง บิเซนเต้ เดล บอสเก้ (ในเวลานั้นเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมราชันชุดขาว), จุ๊ปป์ ไฮย์เกส, กุส ฮิดดิ้งค์ และ ฟาบิโอ คาเปลโล่ อีกด้วย

นักเตะในยุคนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดผู้เล่นแทบทุกคน แต่ เฟร์นันโด กลับถูกมองอีกแบบ ฐานะลูกชายของประธาน เป็นอะไรที่เขาสลัดไม่หลุด ไม่ใช่แค่แฟนๆ เท่านั้นที่จ้องจับผิด บางครั้งมันลามไปถึงผู้จัดการทีมเลยก็มี 

"ตอน เดล บอสเก้ คุมทีม เขาทำให้ผมเป็นนักเตะที่แข็งแกร่ง ตอนที่ คาเปลโล่ มา เขาบอกว่าเขาต้องการใช้นักเตะที่มาจากทีมเยาวชนของผม แต่ตอนที่ ไฮย์เกส มานี่สิมันไม่ยุติธรรมเลย เขาทะเลาะกับพ่อของผม (ไฮย์เกส กับ ลอเรนโซ่ ซานซ์ ถือเป็นกุนซือและผู้บริหารที่จิกกัดกันตลอด) เขาก็เอานักเตะตำแหน่งอื่นมาเล่นในตำแหน่งของผม (กองหลัง) เขาบอกว่าผมเล่นได้ห่วยบรม ซึ่งตอนที่พ่อผมไล่เขาออกไป เขายังเคยบอกเลยว่าตัวของเขาเองก็เซอร์ไพรส์กับฝีเท้าของผม" เฟร์นันโด ที่ถูกจำในฐานะ "ซานซ์ จูเนียร์" กล่าว

"แฟนๆ ก็มองว่าผมเป็นลูกชายของประธานสโมสร พวกเขาไม่เคยมองที่ตัวของผมและให้ความมั่นใจในฝีเท้าที่ผมมีเลย แต่รู้อะไรไหม ผมเล่นลงเล่นในรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 1998 แล้วเราก็ได้แชมป์หลังจากนั้น ผมลงสนามในนัดชิงชนะเลิศสโมสรโลกกับ วาสโก ดา กาม่า แล้วเราก็ได้แชมป์ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าผู้คนทำไม่รู้สึกแปลกๆ ในสิ่งที่พวกเขาพยายามเชื่อ กับความจริงที่ผมเป็นบ้าง"

"มีเกมๆ นึง ผมลงเล่นและทีมชนะ เรอัล โอเบียโด้ 5-0 แต่ไม่มีคำชมให้ผมเลยสักนิด ทว่าพอเกมต่อไปกำลังจะมาถึงแฟนๆ ก็จ้องจะด่าผม เหมือนกับว่าผมเป็นเครื่องมือที่ใช้โจมตีพ่อของผมเอง ... ซึ่งทุกวันนี้ผมมองย้อนกลับไป ผมคงต้องบอกว่า 'ช่างแม่ง' นั่นแหละถึงจะถูกที่สุด"  

การชูถ้วยแชมป์ร่วมกับทีมมากมาย กลับกลายเป็นเหมือนฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มเมื่อออกสื่อ แต่ เฟร์นันโด ยอมรับว่าเขาเบื่อกับการเป็นนักเตะของ เรอัล มาดริด มากที่สุดในช่วงเวลาของการเป็นนักเตะอาชีพเลย 


Photo : www.sportskeeda.com

"ผมเบื่อกับสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมเป็นคนที่ได้รับค่าแรงน้อยที่สุดในทีม พวกเขาไม่ต้องการเจรจาเรื่องนี้กับผมมาก เพราะคิดว่าผมรวยจากการเป็นลูกชายประธานสโมสร แถมยังมีคนบอกว่าไอ้เงินเดือนนี่ช่างมันเถอะ มันเตะบอลเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว ... ผมก็อยากจะบอกเหมือนกันว่า 'อดิเรกห่าอะไรล่ะ'" เขาว่าไว้กับ infobae.com หลังจากแขวนสตั๊ดแล้ว 

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด คือความกดดันที่เขารับไว้ตั้งแต่อายุ 18 ปี แม้ในปี 1998 เขาจะเพิ่งต่อสัญญากับทีม มาดริด ต่อไปอีก 4 ปี ทว่าเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เขาเข้าใจว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องมาเจอกับเรื่องแย่ๆ แบบนี้ทุกวัน ... เขาตัดสินใจย้ายออกจากทีมที่มีความกดดันมากที่สุดในประเทศ และเลือกไปอยู่กับทีมที่ขนาดเล็กกว่าอย่าง มาลาก้า

ผ่านที่นั่นมาได้ อะไรก็ง่ายเหมือนปอกกล้วย 

อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เฟร์นันโด ไม่ใช่ลูกแหง่อย่างที่ใครคิด เพียงแต่เขาไม่เคยได้อธิบายตัวเองผ่านสื่อในวันที่เขายังเล่นให้กับ มาดริด เท่าไรนัก 

แม้จะเป็นลูกคนรวยแต่ เฟร์นันโด เป็นขาลุยและพยายามพิสูจน์ตัวเองมาโดยตลอด เขาเผยว่าสาเหตุที่เขาแต่งงาน, มีครอบครัว และดูแลครอบครัวตัวเองโดยการย้ายออกจากบ้านพ่อ คือสิ่งที่เขาตัดสินใจทำตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นแล้ว เขาพยายามจะทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาก็เป็นนักเตะธรรมดาทั่วไป มีเล่นดีบ้าง เล่นแย่บ้าง เท่านั้นเอง


Photo : www.whosdatedwho.com

"ผมออกจากบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย ผมไม่ได้อยู่กับพ่อหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด เรามีความสัมพันธ์แบบพ่อลูกที่สนิทสนม พ่อเป็นพ่อที่ดี และเป็นประธานสโมสรที่ดีด้วย แต่มันน่าเสียดายที่หลายคนไม่พยายามเปิดใจและพยายามเข้าใจกับเรื่องนี้เลย" 

การย้ายมาเล่นให้กับ มาลาก้า ในปี 1999 คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเป็นนักเตะของเขา ไม่มีใครมาคอยจ้องจับผิด ไม่มีใครใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ทำร้ายพ่อของตัวเองอีกแล้ว มีแต่ความไว้ใจซึ่งกันและกัน และเด็กเส้นของแฟนๆ มาดริด คนนี้ ลงเล่นให้ มาลาก้า มากกว่า 200 นัดในระยะเวลา 6 ปี 

ฆัวกิน เปอิโร (Joaquín Peiró) โค้ชของ มาลาก้า ในเวลานั้นเป็นคนที่มอบชีวิตใหม่และความมั่นใจให้กับ เฟร์นันโด ทั้งสองเปิดใจคุยกันอย่างลูกผู้ชาย ซึ่ง เปอิโร ก็ให้โอกาสกับ เฟร์นันโด ได้พิสูจน์ตัวเองว่าสิ่งที่ทุกคนมองมาที่เขาตลอดมา คือสิ่งที่ผิดพลาดอย่างที่สุด

"ฆัวกิน เปอิโร คือโค้ชที่ดีที่สุดคนหนึ่ง เขามีความคล้ายกับ เดส บอสเก้ เขาไม่เข้ามายุ่งรุ่มร่ามเกินกว่าที่ควร และทุกครั้งที่เขาพูดมันจะต้องเป็นช่วงเวลาที่เขาจะเป็นจะต้องพูดจริงๆ" เฟร์นันโด กล่าว 

ไม่ใช่แค่พิสูจน์ตัวเองในฐานะนักเตะคนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ทีมเล็กๆ แห่งนี้ เฟร์นันโด ซานซ์ เป็นขวัญใจของแฟนบอล เขาเป็นผู้นำในแผนเกมรับ และช่วยให้เพื่อนๆ หรือรุ่นน้องในทีมผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากต่างๆ ไปได้ โดยใช้ประสบการณ์ที่ตัวเองเคยเจอเป็นตัวอย่าง


Photo : www.whosdatedwho.com

"ออกจากมาดริดได้อะไรก็ง่ายหมด ผมแบกความกดดันมายาวนานตั้งแต่อายุ 18 ปี และสิ่งเหล่านี้ได้ช่วยผมตอนที่อยู่ มาลาก้า บางครั้งเพื่อนร่วมทีมจะถามผมว่าทำไงดี เล่นไม่ออกจนถูกแฟนบอลของตัวเองโห่ใส่ ผมบอกว่าก็ช่างแม่งไปสิ แค่นี้จิ๊บๆ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมเจอที่ เบอร์นาเบว" เฟร์นันโด ซานซ์ ผู้ปลดแอกตัวเองจาก ซานซ์ จูเนียร์ กล่าว

หาตัวเองให้เจอ 

7 ปีที่ มาลาก้า เป็นการเสริมใยเหล็กให้หัวใจของ เฟร์นันโด อย่างแท้จริง เขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นมาก หลังจากที่เขาแขวนสตั๊ด เขาก็ไม่กลัวคำวิจารณ์จากใครอีกต่อไป ... 


Photo : as.com

ในปี 2006 หลังจากที่ ซานซ์ ซีเนียร์ หรือ ลอเรนโซ่ ซานซ์ ออกจากตำแหน่งประธานสโมสรยุคใหม่และปล่อยให้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานคนใหม่ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในปี 2000 สร้าง กาลาติกอส หรือทีมที่เก่งที่สุดในกาแล็กซี่ ซานซ์ ซีเนียร์ ได้เข้ามาลงทุนกับ มาลาก้า ด้วยการซื้อหุ้น 97% ของสโมสร ซึ่งหนนี้ ลอเรนโซ่ ไม่ได้นั่งตำแหน่งประธานเอง แต่เขาเลือกให้ เฟร์นันโด ซานซ์ ลูกชายคนโตของเขาและอดีตนักเตะที่แฟนๆ มาลาก้า รัก ขึ้นบริหารงานในฐานะท่านประธานเอง 

หลังจากรับงาน เฟร์นันโด ใช้เวลาไม่นานผลักดันสโมสรอีกขั้น เขาเข้ามาบริหารทีม มาลาก้า ในช่วงที่ทีมตกชั้น แต่ เฟร์นันโด ใช้เวลาปีเดียวโดยใช้นโยบายคล้ายๆ กับที่พ่อของเขาบริหาร เรอัล มาดริด คือเลือดข้นกว่าน้ำ ณ ตอนนั้น มาลาก้า ใช้นักเตะเดิมๆ จากชุดตกชั้น และแทบไม่มีการเสริมแข้งใหม่เลย ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็คว้าตั๋วเลื่อนชั้นได้ในปีเดียว แถมปีต่อมายังสามารถเอาตัวรอดในลีกสูงสุดได้แบบสบายๆ และไม่ตกชั้นอีกเลย

จนกระทั่งในปี 2010 ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศสเปนรุนแรง ทีมน้อยใหญ่ประสบปัญหาเรื่องการเงินแทบทั้งนั้น แต่ เฟร์นันโด ขยับตัวไว เขาได้กลิ่นเงินจากอาหรับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักธุรกิจหรือเชื้อสายราชวงศ์ของประเทศในตะวันออกกลาง กำลังมองมาที่ทีมฟุตบอลในยุโรป เพื่อสร้างชื่อเสียงประดับบารมี 

เฟร์นันโด จึงเข้าพบกับกลุ่มทุนจากกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ และได้ความว่ากลุ่มทุนนี้จะทุ่มทุนเพื่อสร้างทีมไปฟุตบอลยุโรปให้ได้ ซึ่งทำให้ เฟร์นันโด ซานซ์ ขายสโมสรให้ และตัวเขาก็ลงจากตำแหน่ง โดยที่หลังจากนั้น มาลาก้า ก็เต็มไปด้วยนักเตะดังๆ เข้าทีมมากมาย ทั้ง อิสโก้, ฆัวกิน ซานเชซ, หรือแม้กระทั่งเบอร์ใหญ่อย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย (แม้หลังจากนั้น กลุ่มทุนอาหรับจะบริหารงานผิดพลาดจนทีมตกชั้นอีกหนก็ตาม)

ซึ่งหลังจาก เฟร์นันโด ลงจากตำแหน่งประธาน เขาก็ได้รับการติดต่อจาก ลา ลีกา ให้เข้ามาเป็นผู้อำนวยการทั่วไปของลีก ซึ่งเขายังดำรงตำแหน่งมาถึงตอนนี้ โดยเป้าหมายของ เฟร์นันโด คือการนำ ลา ลีกา ให้กลายเป็นที่นิยมในระดับทั่วโลกให้ได้ โดยไม่ใช่การขายแค่ 2 ทีมดังอย่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด เท่านั้น 


Photo : www.marca.com

"ตัวเลขสถิติของเรานับตั้งแต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายไปเล่นในเซเรีย อา (จาก มาดริด ไป ยูเวนตุส) ไม่ได้เลวร้ายเลย มันมีความนิยมกว่าเดิม เรามีรายได้มากขึ้น มีแฟนบอลทั่วโลกมาขึ้นด้วย" เฟร์นันโด ที่ผลักดันให้ทีมใหญ่ออกมาเตะโชว์ในต่างแดนเผย ซึ่งล่าสุดทีมอย่าง มาดริด, บาร์เซโลน่า, แอตฯ มาดริด และ บาเลนเซีย ก็มาเตะถ้วยซูเปอร์คัพในประเทศ กาตาร์ ไปสดๆ ร้อนๆ

ทุกวันนี้ เฟร์นันโด ซานซ์ หนีจากเงาของผู้เป็นพ่อได้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครพูดว่าเขาเป็นเด็กเส้นใครอีก เขาแค่มองกลับกันว่า อิทธิพลในการเป็นผู้นำ การคิดแบบผู้บริหารและนักธุรกิจ ได้ส่งเสริมและทำให้เขาซึมซับจนกลายเป็นคนหนุ่มที่มีความสำเร็จในแวดวงธุรกิจเช่นนี้ และที่สำคัญที่สุด เขาเชื่อเสมอว่าแม้ใครจะมองว่าตัวของเขาต้อยต่ำ ขอแค่ตัวเองเชื่อว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็พอแล้ว ... 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook