เหยียบย่ำความผิดหวัง : "เจมี ยัง" นักฟุตบอลที่ปฎิเสธปริญญาเอกเพื่อเดินตามความฝันอีกครั้ง

เหยียบย่ำความผิดหวัง : "เจมี ยัง" นักฟุตบอลที่ปฎิเสธปริญญาเอกเพื่อเดินตามความฝันอีกครั้ง

เหยียบย่ำความผิดหวัง : "เจมี ยัง" นักฟุตบอลที่ปฎิเสธปริญญาเอกเพื่อเดินตามความฝันอีกครั้ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล คือกีฬาที่สวยงามและน่าหลงไหล แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้น นักเตะมากมายก้าวไปไม่ถึงฝั่งฝัน และถูกทิ้งไว้กลางคันในช่วงเวลาที่มืดมิด ก่อนโดนตราหน้าชีวิตว่าล้มเหลว

มีเพียงไม่กี่คนสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือ เจมี ยัง ผู้รักษาประตูชาวออสเตรเลีย ที่จากบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 15 ไปใช้ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลที่อังกฤษ 13 ปี จนตกอับเหลือเงินในบัญชีแค่หลักพัน ไม่มีสิ่งใดให้ทำนอกจาก เรียนหนังสือ

ชีวิตของเขากลับมาสดใส เมื่อได้ทุนเรียนต่อจนถึงปริญญาเอก แต่ เจมี ยัง ปฏิเสธโอกาสนั้น เพื่อเดินหน้าในฐานะนักฟุตบอลตามความฝันของตัวเองอีกครั้ง

จากบ้านมาล่าฝัน

ออสเตรเลีย ประเทศขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโอเชียเนีย คือดินแดนขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม ด้วยโอกาสและเสรีภาพที่เปิดกว้างกว่าประเทศอื่นในเอเชีย-แปซิฟิค ผู้คนมากมายอพยพสู่ออสเตรเลียเพื่อแสวงหาชีวิตใหม่แก่ตัวเอง

 1

เรื่องราวของ เจมี ยัง เริ่มต้นขึ้นตรงนี้ เขาคือลูกชายของผู้อพยพสองเชื้อชาติ เอียน คุณพ่อชาวสก็อตแลนด์ เดินทางข้าม 2 มหาสมุทรเพื่อมาแต่งงานกับ เชอร์รีล หญิงสาวชาวศรีลังกา เจมี ยัง จึงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางวัฒนธรรมที่แตกต่าง และเปิดใจให้กับความหลากหลายในชีวิต

เจมี ยัง เป็นเด็กขยันและตั้งใจเรียน แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าความรู้ในตำรา คือ ความสามารถของเขาในฐานะนักฟุตบอล เจมี ยัง ลงเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูให้แก่ Albany Creek Excelsior FC สโมสรเก่าแก่ของออสเตรเลีย ก่อนก้าวขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่ของทีม Eastern Suburbs ตั้งแต่อายุ 15 ปี

ด้วยความสามารถเกินวัย เจมี ยัง เบนสายเข้าสู่ด้านกีฬาเต็มตัว เขาเข้าศึกษาสถาบันกีฬาประจำรัฐควีนส์แลนด์ (Queensland Academy of Sport) ยังไม่ทันจะได้เรียนถึงไหน เจมี ยัง ได้รับการติดต่อจากสโมสรเรดดิ้ง ทีมฟุตบอลชื่อดังจากประเทศอังกฤษ ที่ชักชวนเขาไปทดสอบฝีเท้า ก่อนยื่นสัญญานักเตะเยาวชนให้ทันที

 2

ความฝันของเด็กชายทั่วโลก คือการเป็นนักเตะของทีมฟุตบอลในอังกฤษ แต่ชีวิตจริงไม่ง่ายเหมือนในฝัน หาก เจมี ยัง ตัดสินใจเซ็นสัญญากับสโมสรเรดดิ้ง หมายความว่า เขาต้องจากลาครอบครัว เพื่อเผชิญหน้ากับการใช้ชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างเพียงลำพังในประเทศอังกฤษ

ความรักในกีฬาฟุตบอล และชีวิตที่อยากผจญภัย ทำให้ เจมี ยัง ตัดสินใจเซ็นสัญญากับสโมสรเรดดิ้ง เขาลาออกจากโรงเรียน และบอกมือลาครอบครัว เพื่อไปตามล่าความฝันยังแดนไกล ในปี 2001

การตัดสินใจครั้งนี้ของ เจมี ยัง นั้นยิ่งใหญ่ แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นการผจญภัยของเขา ที่ต้องเจอเรื่องดีและร้ายอีกมากมายหลังจากนี้...

บทเรียนจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

ความยากลำบากเดินหน้าเข้าหา เจมี ยัง ทันทีที่ก้าวเท้าสู่ประเทศอังกฤษ ครอบครัวอุปถัมภ์ไม่เคยต้อนรับเขาในฐานะสมาชิกใหม่ เจมี ยัง ไม่เคยได้รับความอบอุ่นในฐานะลูกชายคนใหม่ของบ้าน เขาเปลี่ยนครอบครัวอุปถัมภ์อีกหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอด เจมี ยัง ไม่เคยเจอที่ไหนดีพอจะเรียกว่า บ้าน

 3

เจมี ยัง จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเพื่อนร่วมรุ่น ทันใดนั้นเอง ความแตกต่างทางวัฒนธรรมกลายเป็นปัญหาใหญ่ วัยรุ่นชาวอังกฤษทุกคนดื่มสุราหนักตั้งแต่วัยเยาว์ คำถามว่า “สุดสัปดาห์นี้เราไปกินเหล้าที่ไหนดี?” วนเวียนอยู่ในชีวิตของ เจมี ยัง แบบที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนในออสเตรเลีย

โชคดีที่ เจมี่ ยัง ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพ่อแม่ที่แท้จริง เขาย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเขามาที่อังกฤษเพื่อสิ่งใด เจมี่ ยัง พาตัวเองออกห่างจากเหล้าเบียร์และไนต์คลับ เขาใช้ชีวิตอยู่ในยิมตั้งแต่บ่ายสามโมงจนถึงหนึ่งทุ่ม ก่อนจะได้พบบุคคลที่กลายเป็นพ่อคนที่ 2 ของเขา ชายที่ชื่อว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

ก่อนจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการคุมทีมลิเวอร์พูล ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือรายนี้ เคยเป็นโค้ชในชุดเยาวชนของสโมสรเรดดิ้ง หลังเลิกงาน ร็อดเจอร์ส ชื่นชอบที่จะผ่อนคลายความเครียดไปกับการเล่นฟุตบอลเทนนิส 

 4

ที่นั่นเองเขาได้พบกับหนึ่งในลูกศิษย์ที่ยังคงไม่กลับบ้าน และไม่ได้ไปเตร็ดเตร่ที่ไหนกับเพื่อน อย่าง เจมี ยัง ความสัมพันธ์อันดีของทั้งคู่จึงเริ่มขึ้นนับแต่นั้น

“ในความเห็นของผม เบรนแดน คือโค้ชที่ยอดเยี่ยม เพราะว่าเขาเห็นคุณค่าผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่นักฟุตบอล เขาทำให้ผมรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ และมีตัวตนในชีวิตใครสักคน” เจมี ยัง กล่าวถึงความผูกพันกับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

“เขาสร้างความมั่นใจในตัวผม และทำให้ผมเชื่อมั่นว่าผมมีความสามารถที่นักฟุตบอลคนอื่นไม่มี มันคือความสามารถแสนมหัศจรรย์ในฐานะโค้ชคนหนึ่ง เขาช่วยให้ผมปลดปล่อยตัวเอง รวมถึงสอนบทเรียนชีวิตที่สำคัญ”

“ผมใช้เวลาในวันคริสมาสต์ที่บ้านของเขาหลายครั้ง และผมยังคงพูดคุยกับครอบครัวของเขาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขามหัศจรรย์ และเป็นผู้คนที่ติดดิน ผมจะไม่มีวันลืมจิตใจที่งดงามของพวกเขาเลย”

 5

บทเรียนพิเศษจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ช่วยให้ผลงานของ เจมี ยัง โดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมรุ่น เขาไม่ใช่เพียงผู้รักษาประตูชุดเยาวชนที่ดีที่สุดในเรดดิ้ง แต่รวมไปถึงประเทศอังกฤษ เขามีชื่อติดทัพสิงโตคำรามชุดยู 18, ยู 19 และ ยู 20 กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมของนักเตะที่เรารู้จักกันดีอย่าง เวย์น รูนีย์, เจมส์ มิลเนอร์ และ แกรี เคฮิลล์

อนาคตของ เจมี ยัง ดูสดใส เขาควรจะได้เซ็นสัญญากับทีมยักษ์ใหญ่เหมือนซูเปอร์สตาร์ทั้ง 3 ตรงกันข้าม เจมี ยัง วนเวียนอยู่กับฟุตบอลลีกล่าง และไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ตลอดชีวิตค้าแข้งของเขา

เกิดอะไรขึ้นกับ เจมี ยัง กันแน่?

ล้มเหลวบนเส้นทางลูกหนัง 

เจมี ยัง คือนักฟุตบอลอนาคตไกล ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเรื่องนั้น ฤดูกาล 2003-04 เรดดิ้งให้โอกาสสำคัญด้วยการเรียกเขาขึ้นมาเป็นผู้รักษาประตูมือสองของทีม แต่เนื่องจากฟอร์มที่คงเส้นคงวาของ มาร์คัส ฮาห์เนแมนน์ มือกาวหมายเลขหนึ่ง เจมี ยัง ได้โอกาสลงสนามแค่หนึ่งเกม ในฐานะตัวสำรอง

 6

ดาวรุ่งทุกคนต้องการลงสนาม สถานการณ์ที่ เจมี ยัง เผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องดี เรดดิ้งแก้ปัญหาด้วยการส่งเขาไปยืมตัวกับสโมสร Rushden & Diamonds ในลีกทู (ปัจจุบัน ยุบทีมแล้ว) เพื่อช่วยให้ เจมี ยัง ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง

เจมี ยัง ได้โอกาสที่รอมาตลอดชีวิต แทนจะทุ่มเทเต็มที่ เจมี ยัง กลับทำในสิ่งที่นักเตะดาวรุ่งควรทำน้อยที่สุด คือ หยิ่งผยอง และ มองตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์

“ผมโชคดีที่ได้ติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชน แต่เมื่อมองกลับไป ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ผมคิดว่าตัวเองเก่งกว่าที่ผมเป็นในความจริง”

“ผมไม่มีความสุขเลยที่ต้องย้ายทีม ผมเชื่อว่าผมควรได้เล่นในระดับที่สูงกว่าลีกทู ทั้งที่ความจริงผมอายุแค่ 20 ปี”

“ผมมีอีโก้ในตัวเองสูงมาก และไร้เดียงสามากพอจะคิดว่าตัวเองดีพอสำหรับทุกสิ่ง ท้ายที่สุด มันคือจุดเริ่มต้นช่วงชีวิตที่ตกต่ำของผม”

เจมี ยัง เริ่มต้นด้วยการเป็นมือหนึ่งของ Rushden & Diamonds แต่เขาไม่เคยตั้งใจเล่นเต็มร้อยแม้แต่เกมเดียว เนื่องด้วยรู้ว่าสักวันต้องกลับไปเรดดิ้ง ต่อให้ทีมปัจจุบันตกชั้นไป มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา เจมี ยัง กล้าหาญพอที่จะเข้าไปบอกกับทีม ว่าไม่ต้องการอยู่กับสโมสรแห่งนี้อีกต่อไป Rushden & Diamonds จึงส่งเขากลับสู่เรดดิ้ง หลังเวลาผ่านไปเพียงครึ่งฤดูกาล

เจมี ยัง ได้สิ่งที่ต้องการ เขาพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับเรดดิ้ง แต่สถานการณ์ในถิ่นมาเดสกี สเตเดียม เปลี่ยนไป ผู้บริหารไม่พอใจที่ เจมี ยัง กลับสู่สโมสรก่อนเวลากำหนด เรดดิ้งดึงผู้รักษาประตูมือสองรายใหม่เข้ามา และปล่อยตัวเขาออกจากสโมสร หลังจบฤดูกาล 2005-06

บทเรียนครั้งใหญ่ปรับทัศนคติเสียใหม่ เจมี ยัง กลับตัวได้และเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลอีกครั้งกับ วีคอมบ์ วันเดอเรอร์ส ในลีกทู คราวนี้เขาทุ่มเทเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ จนพาทีมจบอันดับ 12 ในฤดูกาล 2006-07 เจมี ยัง ได้รับการการันตีตำแหน่งตัวจริงในฤดูกาลหน้าอย่างไร้ปัญหา แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น

 7

การแข่งขันนัดที่ 3 ของฤดูกาล 2007-08 ในเกมพบกับ ชรูว์สบิวรี่ ทาวน์ เจมี ยัง ได้รับการบาดเจ็บอย่างหนักที่กล้ามเนื้อแฮมสตริง เขาไม่ได้ลงสนามอีกเลยตลอดฤดูกาล และไม่เคยกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงถาวรให้ วีคอมบ์ วันเดอเรอร์ส ได้อีกเลย เดือนพฤศจิกายน ปี 2009 เขาถูกปล่อยตัวก่อนหมดสัญญา ผลสุดท้าย เจมี ยัง ย้ายร่วมทีม อัลเดอร์ช็อต ทาวน์ ด้วยสัญญาชั่วคราว

เจมี ยัง รู้ดีว่าเส้นทางนักฟุตบอลของเขาไม่แน่นอนอีกต่อไป เขาจำเป็นต้องหาบางอย่างมารองรับเขาไว้ หากเหตุการณ์ไม่เป็นใจเกิดขึ้นอีกครั้ง เจมี ยัง จึงหันไปหาสิ่งที่เขาหันหลังให้นับแต่เขาเดินทางจากบ้านเกิด ประเทศออสเตรเลีย นั่นคือ “การศึกษา”

นักฟุตบอลที่ (ไม่) ดี

“ตอนค้าแข้งใหม่ๆ ผมเชื่อว่านักฟุตบอลที่เรียนจบสูง คือพวกที่ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพของตัวเอง ผมรู้สึกว่าการที่คุณออกไปทำอะไรสักอย่าง เช่น เรียนต่อ หมายความว่า คุณไม่ใช่นักฟุตบอลที่ดี”

 8

เจมี ยัง ทำอย่างสิ่งที่เขาพูดข้างต้น เมื่อคิดว่าตัวเองกลายเป็นนักฟุตบอลที่ไม่ได้เรื่อง เขาหันหน้าเข้าสู่การศึกษา สิ่งที่ยากคือการยอมรับว่าตัวเองเป็นนักฟุตบอลที่แย่ จนต้องเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางอื่น โชคดีที่ครอบครัวอยู่ข้างเขาเสมอ หลังจากได้ปรึกษากับคุณพ่อ เจมี ยัง จึงตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี

เขาไม่มีปัญหาในการแบ่งเวลาระหว่างเรื่องฟุตบอลและเรื่องเรียน อันที่จริง เจมี ยัง ทำได้ดีเกินคาด ด้วยบทบาทมือหนึ่งตลอดฤดูกาล 2012–13 คว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร ควบคู่กับศึกษาสาขาสรีระวิทยาการ จากมหาวิทยาลัยนครแมนเชสเตอร์ ชีวิตของเขาที่อังกฤษดูเหมือนจะไปได้ดี ...

จนกระทั่งได้รับการแจ้งข่าวว่า อัลเดอร์ช็อต ทาวน์ จะไม่ยื่นสัญญาใหม่ เนื่องจากสโมสรกำลังประสบปัญหาทางการเงิน เจมี่ ยัง จึงเดินทางกลับสู่ออสเตรเลียอีกครั้ง เพื่อทดสอบฝีเท้ากับสโมสร บริสเบน รอร์ แต่ก็พลาดการเซ็นสัญญา เนื่องจากปัญหาเรื่องค่าเหนื่อย และเมื่อเขาเดินทางกลับมาสู่ประเทศอังกฤษ ไม่มีที่ว่างในสโมสรใดเว้นว่างไว้อีกแล้ว

 9

เมื่อไม่มีฟุตบอลให้เล่น สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตคือการศึกษา เจมี ยัง ใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตทุ่มเทจนเรียนจบปริญญา และได้รับทุนศึกษาต่อจากมหาวิทยาลัยนครแมนเชสเตอร์ จนถึงปริญญาเอก ทันใดนั้น สโมสร บริสเบน รอร์ ติดต่อกลับมาหาเขาอีกครั้ง และคราวนี้พวกเขาพร้อมเซ็นสัญญากับ เจมี่ ยัง อย่างไร้เงื่อนไข

เหมือนกับวันที่จากบ้านเกิดมา หากเขาตัดสินใจรับข้อเสนอจาก บริสเบน รอร์ เพื่อเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักฟุตบอลอีกครั้ง หมายความว่าต้องยุติการศึกษาไว้กลางคัน เจมี่ ยัง ตัดสินใจตอบรับข้อเสนอของ บริสเบน รอร์ ด้วยเหตุผลที่มีความหมายต่อชีวิตของเขามากที่สุด

คือ การพิสูจน์ตัวเองในฐานะ “นักฟุตบอลที่ดี” อีกครั้ง

เรียนรู้จากประสบการณ์

ตลอดระยะเวลา 13 ปี ในประเทศอังกฤษของเจมี่ ยัง สิ่งที่ทำมาตลอดคือต่อสู้กับอุปสรรคที่เขามาท้าทาย จนกว่าจะได้รับการยอมรับในฐานะนักฟุตบอลคนหนึ่ง เขายังคงเจอกับเรื่องราวแบบนั้นแม้กลับมาเริ่มต้นใหม่ในออสเตรเลีย

เจมี่ ยัง ไม่ได้รับโอกาสเป็นมือหนึ่งใน บริสเบน รอร์ และต้องอดทนรออยู่นาน จนกว่าเจ้าของตำแหน่งอย่าง ไมเคิล ธีโอ จะได้รับอาการบาดเจ็บ จึงจะได้รับโอกาสลงสนามในฐานะตัวจริง

 10

ประสบการณ์สอนให้ผู้คนเรียนรู้ เจมี่ ยัง ใจเย็นและอดทนต่อโอกาส แม้กระทั่งวันที่ เจมี่ ยัง ก้าวมาเป็นตัวจริงแทน ไมเคิล ธีโอ ที่บาดเจ็บ และทำผลงานออกมาได้ดี เขายังไม่ได้รับการการันตีตำแหน่ง เพื่อคว้ารางวัลนั้น เจมี ยัง ตัดสินใจหยุดพักการเรียน เพื่อกลับมาทุ่มเทเวลาทั้งหมดแก่ฟุตบอล เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี

“สำหรับนักฟุตบอล หรือแม้แต่คนทั่วไป ทุกคนต้องเจอกับความยากลำบาก การก้าวถอยหลัง และความล้มเหลวในชีวิต”

“ทางเดียวที่จะก้าวผ่านปัญหาเหล่านี้ คือประเมินสิ่งที่เกิดขึ้น และวิธีการแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ คุณต้องมั่นใจในตัวเอง รวมถึงมุ่งมั่นตั้งใจเหมือนที่เคยเป็นมา”

 11

ความอดทนและเชื่อมั่น ตอบแทน เจมี ยัง อย่างคุ้มค่า เขายึดตำแหน่งตัวจริงของ บริสเบน รอร์ เป็นการถาวร และได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำสโมสรในปี 2018 และ 2019 พร้อมกับกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกในสาขาฝึกสอนกีฬา ที่มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ อีกครั้ง

นอกจากฟุตบอลและการศึกษา เจมี ยัง อุทิศตนให้แก่ชีวิตหลายด้าน เขายังรับบทบาทเป็นทูตของ Multicultural Development Association องค์กรเกี่ยวกับผู้อพยพในออสเตรเลีย หลังเผชิญหน้าความหลากหลาย และประสบการณ์เหยียดผิวมากมายที่ได้รับตลอดอาชีพนักฟุตบอล

 12

เจมี ยัง ผ่านความล้มเหลวมากมาย แต่เขากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ด้วยแนวคิดที่เปลี่ยนไป ผู้คนมากมายจมอยู่กับความผิดพลาด โดยไม่เคยมองเห็นสิ่งดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แตกต่างออกไป เจมี ยัง ภูมิใจกับความสำเร็จทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา และยังคงก้าวเดินต่อไปในฐานะนักฟุตบอลคนหนึ่ง

 13

“ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นลีกระดับล่างในอังกฤษ ผมอาจจะก้าวไปไม่ถึงจุดที่นักฟุตบอลหลายคนทำได้ แต่ผมภูมิใจกับความสำเร็จทุกอย่างที่ผ่านมา”

“ตอนนี้ ผมคือหนึ่งในผู้รักษาประตูราว 20 คนในออสเตรเลีย และผมเดินทางไปฝึกซ้อมทุกวันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เพราะว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ผมรัก เท่านั้นเอง” เจมี ยัง สรุปการเดินทางยาวนานเกือบ 20 ปี ของเขา

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ เหยียบย่ำความผิดหวัง : "เจมี ยัง" นักฟุตบอลที่ปฎิเสธปริญญาเอกเพื่อเดินตามความฝันอีกครั้ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook