ปาเชตา : อดีตเฮดโค้ชไทยลีกที่พา "เอลเช" เลื่อนชั้นขึ้นลาลีกา

ปาเชตา : อดีตเฮดโค้ชไทยลีกที่พา "เอลเช" เลื่อนชั้นขึ้นลาลีกา

ปาเชตา : อดีตเฮดโค้ชไทยลีกที่พา "เอลเช" เลื่อนชั้นขึ้นลาลีกา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การเพลย์ออฟเพื่อหาทีมสุดท้ายที่เลื่อนชั้นสู่ ลาลีกา ฤดูกาล 2020-21 จบลงด้วยชัยชนะของ เอลเช สโมสรฟุตบอลขนาดเล็กในแคว้นบาเลนเซีย หลังห่างหายจากลีกสูงสุดนาน 5 ปี

ผลการแข่งขันนัดนี้ คงไม่ได้รับความสนใจในบ้านเรา แต่ทราบหรือไม่ว่า เฮดโค้ชที่พา เอลเช ประสบความสำเร็จ เป็นคน ๆ เดียวกับที่เคยรับงานคุมทีมในไทยลีก

เขาคือฮวน โรโฆ โจเซ มาร์ติน หรือ ปาเชตา อดีตกุนซือเคยผ่านจุดตกต่ำของอาชีพโค้ช จนต้องถอยหลังมาตั้งหลักในลีกฟุตบอลเอเชีย ก่อนที่เขาจะสร้างเรื่องน่าเหลือเชื่อ เมื่อกลับไปทำงานในประเทศบ้านเกิด กลายเป็น ฮีโร่ที่สร้างความฝันครั้งใหม่แก่ชาวเอลเช

จอมทัพมันสมอง

ปาเชตา เริ่มต้นอาชีพนักเตะ กับ ราซิ่ง เลร์เมโญ ทีมฟุตบอลประจำหมู่บ้านในจังหวัดบูร์กอส ทางตอนเหนือของสเปน เขาเล่นให้สโมสรแห่งนี้ 2 ปี จึงก้าวสู่การแข่งขันสู่ลีกเซกุนดา ดิวิชัน เบ กับ นูมานเซีย ในฤดูกาล 1989-90

ไม่ต่างจากกองกลางสัญชาติสเปนรายอื่น ปาเชตา คือ นักเตะเปี่ยมเทคนิค ใช้สมองในการเล่นฟุตบอล ถือเป็นมิดฟิลด์ที่มีความครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเกม จ่ายบอล หรือ ทำประตู ด้วยวัย 21 ปี ปาเชตา กลายเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาและถูกวางตัวเป็นอนาคตของสโมสร

Photo : todocoleccion 

“เขาคือกองกลางโดยกำเนิด ด้วยชั้นเชิงที่มากกว่าท่าทีโอ้อวด รวมถึงทักษะการยิงประตู ไม่ต้องแปลกจากหากปาเชตา จะผันตัวรับงานโค้ชในอนาคต” บทความรวมประวัติอดีตนักเตะนูมานเซีย กล่าวถึงความฉลาดในการเล่นของปาเชตา

ปาเชตา ค้าแข้งกับ นูมานเซีย เพียงฤดูกาลเดียว เขาเซ็นสัญญาร่วมทีม เรอัล บูร์กอส เพื่อโอกาสลงเล่นศึกลาลีกา ฤดูกาล 1990-91 ปาเชตา หวังว่าการย้ายทีมครั้งนี้ จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในอาชีพนักฟุตบอล เนื่องจากเป็นการขยับจากลีกระดับสาม สู่ลีกสูงสุดของประเทศ

โชคร้ายที่ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันข้าม เขาไม่ได้โอกาสลงสนามแม้แต่นัดเดียว ปาเชตายอมรับว่า ตนดีไม่พอสำหรับลาลีกา ก่อนกลับสู่เซกุนดา ดิวิชัน เบ ในฐานะผู้เล่นตัวหลักของ สโมสรมาร์เบยา 


Photo : Marbella 24 hors 

เขาประสบความสำเร็จกับทีมแห่งนี้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก จากการคว้าแชมป์ฤดูกาล 1991-92 พาต้นสังกัดเลื่อนชั้นสู่ เซกุนดา ดิวิชัน ลีกฟุตบอลระดับสองของสเปน

นับตั้งแต่วันนั้น ปาเชตา ไม่เคยกลับมาเล่นฟุตบอลในระดับที่ต่ำกว่า เซกุนดา ดิวิชัน เขาลงเล่นในลีกแห่งนี้ 2 ฤดูกาล กับ 2 สโมสร ได้แก่ มาร์เบยา และ เมริดา ลงสนามรวม 56 นัด ยิง 9 ประตู ปาเชตา พิสูจน์ว่าเขา คือ แข้งแถวหน้าของลีกรอง และพร้อมกลับไปพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในลาลีกา

เดือนมิถุนายน ปี 1994 ปาเชตา เซ็นสัญญากับ เอสปันญ่อล ทีมดังจากแคว้นคาตาลัน แม้บาดเจ็บจนพลาดพรีซีซั่น แต่เขาได้รับความมั่นใจให้ลงเล่นเป็นตัวจริง ในเกมเปิดบ้านพบบาร์เซโลน่า เผชิญหน้ากับกองกลางซูเปอร์สตาร์อย่าง โจเซฟ กวาดิโอลา, โรนัลด์ คูมัน และ จอร์จี ฮาจี

อดีตเฮดโค้ชทีมราชบุรีทำผลงานน่าประทับใจ และสามารถส่งบอลตุงตาข่ายได้สำเร็จ จากลูกโหม่งในจังวะฟรีคิก โชคร้ายที่ผู้ตัดสินมองว่าการยิงครั้งนั้นไม่เป็นประตู เนื่องจากมีการฟาวล์เกิดขึ้นก่อน เกมจึงจบด้วยสกอร์ 0-0 หนังสือพิมพ์ Mundo Deportivo พาดหัว “ประตูที่น่ากังขาของปาเชตา” แจ้งเกิดมิดฟิลด์หน้าใหม่ ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนามในลีกสูงสุด

 

ปาเชตา กลายเป็นขวัญใจแฟนบอลเอสปันญ่อล น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บตามเล่นงานไม่เลิก เขาผันตัวเป็นผู้เล่นไวลด์การ์ดที่มักถูกส่งลงมาในช่วงท้ายเกม ปาเชตา ได้การยอมรับในฐานะผู้เล่นสารพัดประโยชน์ ด้วยการลงเล่นมากถึง 5 ตำแหน่ง และฝากผลงานที่ดีแก่ทีมแทบทุกครั้ง

ปี 1999 ปาเชตา ดำเนินบทสุดท้ายในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ด้วยการย้ายกลับสู่ นูมานเซีย เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดในการค้าแข้งที่สโมสรแห่งนี้ จากผลงาน 121 นัด 18 ประตู ตลอด 4 ฤดูกาล ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2004 ด้วยวัย 36 ปี

“ผมมีครอบครัว มีบ้าน มีพรรคพวก มีเพื่อนพ้อง อยู่ที่นี่ ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กลับมายังเมืองแห่งนี้” ปาเชตา กล่าวถึง นูมานเซีย ขณะพาต้นสังกัดล่าสุด เอลเช่ บุกมาเยือนที่สนามนูเอโบ เอสตาดิโอ ลอส ปาฆาริตอส เมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว

  ความล้มเหลวที่สเปน

ปาเชตา ยังวนเวียนในวงการฟุตบอล เขาเริ่มต้นงานเป็นสตาฟฟ์โค้ชของนูมานเซีย ก่อนเข้ามารับบทตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา ในปี 2007 ปาเชตาทำหน้าที่ผู้บริหารอยู่ปีกว่า จากนั้นถูกย้ายไปทำหน้าที่ ผู้จัดการทีมชั่วคราว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 หลัง แซร์กิจ เครซิช ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง

แม้ไม่สามารถช่วยให้ นูมานเซีย รอดตกชั้น แต่ช่วงเวลานั้น สร้างแรงบันดาลใจบางอย่างในใจปาเชตา จนยอมทิ้งอาชีพผู้บริหารทีมลูกหนัง กระโดดลงไปรับความท้าทายใหม่ ในฐานะโค้ชขัดตาทัพอีกครั้ง กับ เรอัล โอเบียโด สโมสรในเซกุนดา ดิวิชัน เบ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011


Photo : Mundo Delporto 

ปาเชตา ทำผลงานน่าประทับใจ ตลอด 2 ฤดูกาลที่คุมทีมแห่งนี้ ด้วยการจบอันดับ 8 และ 6 ตามลำดับ แต่ด้วยความทะเยอทะยาน ที่มีให้เห็นตั้งแต่สมัยค้าแข้ง เขาลาออกจาก เรอัล โอเบียโด โดยให้เหตุผลว่า อนาคตของสโมสรแห่งนี้ไม่แน่นอน 

ในเดือนธันวาคม ปี 2012 ปาเชตารับงานเป็นเฮดโค้ชทีมคาร์ทาเกนา ก่อนพาต้นสังกัดจบอันดับ 2 ของเซกุนดา ดิวิชัน เบ ฤดูกาล 2012-13 คว้าตั๋วเข้าเพลย์ออฟลุ้นเลื่อนชั้น แต่ไม่ทันได้ลงเล่น เขาถูกปลดจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า เนื่องจากสะดุดเสมอ 4 จาก 5 นัดสุดท้าย

ปาเชตา ดูจะเสียศูนย์หลังจากนั้น เขาไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ทั้งการคุม โคโรน่า คีลเซ่ และ เอร์คูเลส คว้าชัยชนะไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จนกระเด็นจากตำแหน่ง กลายเป็นคนตกงานไปนานร่วม 10 เดือน 

วันหนึ่ง เขาได้รับข้อเสนอ จากสโมสรในแดนไกล นั่นคือ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี การก้าวออกมาหาประสบการณ์ใหม่ที่เมืองไทยเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเฮดโค้ชที่กำลังถอยหลังอย่างเขา

ผจญภัยในไทยลีก

เดือนมกราคม ปี 2016 ปาเชตาเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมราชบุรี มิตรผล เอฟซี การจับคู่ของสองฝ่าย ถือว่าเหมาะสมกันอย่างมาก เนื่องจาก ทัพราชันมังกรเลือกใช้กุนซือชาวสเปน นับตั้งแต่เลื่อนชั้นสู่ไทยลีกในปี 2013 ไล่ตั้งแต่ อีวาน ปาเลโก, ริคาโด โรดริเกวซ และโจเซ่ แฟเรย์

เขาให้สัมภาษณ์ถึงการย้ายมาคุมทีมในประเทศไทยว่า นี่คือ “การผจญภัย” แม้ต้องปรับตัวกับสังคม และวัฒนธรรมใหม่ 

แต่เขาเรียนรู้กับการใช้ชีวิตในบ้านเราอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ปาเชตา ค้นพบความสุขกับการทำงานในเมืองไทย และตั้งเป้าพัฒนาตัวเอง เพื่อกลับไปรับงานในสเปนอีกครั้ง


Photo : Goal Thailand 

“ผมมีโอกาสคุมทีม และมีโอกาสทำงานหลายอย่างที่ไม่มีวันได้ทำในสเปน มันชัดเจนว่า ผมกำลังเติบโตขึ้นในฐานะเฮดโค้ช” ปาเชต้า ให้สัมภาณ์กับสื่อบ้านเกิด

“ผมรู้ว่าการใช้ชีวิตในเมืองไทยยากแค่ไหน แต่ผมก็รู้ว่า การนั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่ทำอะไรนาน 10 เดือน โดยไม่มีโอกาสเข้ามาหานั้นเป็นอย่างไร”

“เมื่อใดก็ตามที่คุณทำงาน คุณจะเติบโตขึ้น ทั้งในฐานะโค้ช และฐานะคนธรรมดา ผมบอกคุณเลยว่า สักวันผมจะกลับไปสเปนอีกครั้ง”

ปาเชตา ตั้งใจพัฒนาตัวเองด้วยการเรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลแดนสยาม เขาให้สัมภาษณ์ว่า “นักเตะไทย” มีความสามารถพอจะเล่นในเซกุนดา ดิวิชัน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมองเห็นจุดแข็งของนักเตะไทยที่แข็งแกร่งและรวดเร็ว รวมถึงจุดอ่อนที่ต้องการแรงกระตุ้นตลอดเวลา 


Photo : Goal Thailand 

ไม่ใช่เรื่องแปลกใจ ปาเชตา จะประสบความสำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรก ราชบุรี มิตรผล เอฟซี คว้าแชมป์ช้าง เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2016 หลังผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย ก่อนการแข่งขันถูกตัดจบ 

ส่วนผลงานในไทยลีก ถือว่าน่าประทับใจ ด้วยการจบอันดับ 6 ของตาราง พร้อมลูกได้เสีย +17 เท่ากับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลไทย

ผลงานที่ข้างต้น ทำให้ ปาเชตา กลายเป็นโค้ชต่างชาติคนแรกที่ได้รับการต่อสัญญาจากราชบุรี มิตรผล เอฟซี ทางกลับกัน ทัพราชันมังกร กลายเป็นสโมสรแรกที่ปาเชตาคุมทีมนานถึง 2 ปีเต็ม นับตั้งแต่รับงานเป็นเฮดโค้ชในปี 2009

“ตลอดเวลา 7 ปีที่ทำฟุตบอลมา หลายคนรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการที่เปลี่ยนโค้ชค่อนข้างบ่อย ผมเปลี่ยนโค้ชแล้ว 8 คน แต่ ปาเชตาเป็นโค้ชต่างชาติคนแรกที่ผมตัดสินใจต่อสัญญา” ธนวัชร์ นิติกาญจนา ผู้จัดการทีมราชบุรี มิตผล เอฟซี กล่าว

“ผมเคยทำงานกับโค้ชมามากมาย และรู้สึกได้ว่า ปาเชตาเป็นโค้ชที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยร่วมงาน”


Photo : SMMTV

ปาเชตาร่วมงานกับราชบุรี มิตผล เอฟซี อีก 1 ปี เขาพาทีมเข้ารอบรองชนะเลิศ โตโยต้า ลีก คัพ 2017 ก่อนแพ้เชียงราย ยูไนเต็ด ตกรอบด้วยสกอร์ 0-1 หลังจากนั้นไม่นาน ราชบุรี ประกาศแยกทางกับ ปาเชตา โดยให้เหตุผลว่า คุณแม่ของโค้ชชาวสเปนป่วยด้วยโรคมะเร็ง จึงต้องการเวลากลับไปดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่

ไม่มีใครรู้ว่า คุณแม่ของปาเชตาป่วยเป็นมะเร็งชนิดใด แต่เท่าที่พอจะอนุมาน คงไม่ใช่ขั้นรุนแรงนัก เพราะ 3 เดือนหลังบอกลาประเทศไทย เขาเข้ารับงานเป็นกุนซือคนใหม่ของ เอลเช่ ทีมระดับเซกุนดา ดิวิชัน เบ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2008

 

ความฝันที่เป็นจริง

“ปาเชตาเข้ามาสู่เอลเช ขณะสโมสรลงเล่นในเซกุนดา เบ เขามีความะทะเยอทะยานจะเห็นสโมสรเติบโต และขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตาราง เพื่อกลับสู่เซกุนดา ดิวิชัน ภายในฤดูกาลเดียว” แถลงการณ์จากสโมสรเอลเช กล่าวถึงเป้าหมายการกลับมาสเปนของปาเชตา


Photo : twitter Elche 

เรื่องราวของสโมสรเอลเช ไม่แตกต่างจากการเดินทางของ ปาเชตา ทีมฟุตบอลแห่งนี้ลงเล่นในลาลีกา ช่วงปี 2013-2015 ก่อนตกชั้น 2 ครั้ง ภายใน 3 ปี ร่วงสู่เซกุนดา ดิวิชัน เบ แบบไม่ทันตั้งตัว 

เช่นเดียวกับ ปาเชตา ที่เคยเกือบพา คาร์ทาเกนา เลื่อนชั้น ก่อนย้ายมารับงานในประเทศไทย ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางแง่มุม ถือเป็นการก้าวถอยหลัง

ปาเชตา แสดงให้เห็นว่า 2 ปีที่ตั้งใจพัฒนาตัวเองในประเทศไทยไม่สูญเปล่า เขาคุมทีมเอลเชลงสนาม 17 นัด แพ้แค่นัดเดียว พาสังกัดคว้าตัวเลื่อนชั้นสู่ เซกุนดา ดิวิชัน หลังเกือบทำได้ในฤดูกาล 2012-13 กับ คาร์ทาเกนา

“ผมใฝ่หาสิ่งนี้มานานแสนนาน นั่นคือการเลื่อนชั้นสู่ เซกุนดา ดิวิชัน ผมต้องขอบคุณนักเตะทุกคนที่ช่วยเติมเต็มความฝันแรกในฐานะเฮดโค้ชของผม” ปาเชตา กล่าวหลังพาเอลเชเลื่อนชั้นเป็นครั้งแรก

“แฟนบอลในเอลเชต้องเจอความเจ็บปวดตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถ้าพวกเขา(ทีมในเซกุนดา)ลืมเรา ตอนนี้เรากลับมาแล้ว”


Photo : La Liga 

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ ปาเชตา จะพาต้นสังกัดประสบความสำเร็จในลีกรอง เนื่องจาก เอลเช ไม่ใช่สโมสรที่มีนายทุนหนุนหลัง พวกเขาถือเป็นทีมที่มีงบประมาณน้อยที่สุดเป็นลำดับ 5 ของลีก 

การพาทีมจบอันดับ 11 ในฤดูกาล 2018-19 ถือเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ แต่ไม่ใช่กับ ปาเชตา ที่ต้องการพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลาลีกา และเขาทำมันได้สำเร็จในฤดูกาลถัดมา จากความทุ่มเทที่แสดงออกมาในทุกนัดที่เขายืนบัญชาการข้างสนาม

“ในฤดูกาลที่พวกเขาก้าวเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตั๋วเลื่อนชั้น นี่คือรางวัลที่ตอบแทนการทำงานหนัก ความเสียสละ และที่สำคัญที่สุด แรงศรัทธาในความฝันของพวกเขา” ข้อความที่เขียนในเว็บไซต์ superdeporte หลังเอลเชเลื่อนชั้น

ปาเชตา และ เอลเช ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต่างฝ่ายหวังในปลายทาง เอลเช เลื่อนชั้นกลับสู่ลาลีกาครั้งแรกในรอบ 5 ปี 

ขณะที่เฮดโค้ชชาวสเปน พัฒนาตัวเองสู่การเป็นเฮดโค้ช ที่มีความสามารถพอจะคุมทีมในลีกฟุตบอลชั้นนำของโลก 

น่าเสียดายที่ทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันหลังเลื่อนชั้น เอลเช ประกาศแยกทางกับ ปาเชตา สิ้นสุดการเดินทางที่เหมือนความฝันของทั้งสองฝ่ายเพียงเท่านี้


Photo : La Liga 

ไม่มีใครรู้ก้าวต่อไปของ ปาเชตา เขาอาจปฏิเสธโอกาสคุมทีมในลาลีกา เหมือนที่เคยตัดสินใจผจญภัยในโลกฟุตบอลไทยกับราชบุรี มิตรผล เอฟซี แต่ไม่ว่าคำตอบนั้นคืออะไร ความสำเร็จที่ปาเชตาทำไว้ จะไม่เลือนหายจากใจแฟนฟุตบอลชาวเมืองเอลเช อย่างแน่นอน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook