ที่อื่นก็ไล่ผมมา : มาร์ติน ยอร์เกนเซ่น นักสู้ราคา 0 บาทจากสิทธิ์เจ้าของร่วมใน เซเรีย อา

ที่อื่นก็ไล่ผมมา : มาร์ติน ยอร์เกนเซ่น นักสู้ราคา 0 บาทจากสิทธิ์เจ้าของร่วมใน เซเรีย อา

ที่อื่นก็ไล่ผมมา : มาร์ติน ยอร์เกนเซ่น นักสู้ราคา 0 บาทจากสิทธิ์เจ้าของร่วมใน เซเรีย อา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โลกฟุตบอลมีเรื่องราวของนักเตะจากต่ำสุดที่ไต่ตัวเองไปอยู่ในระดับสูงสุดมากมาย แต่เรื่องราวต่อไปนี้แตกต่าง มันคือเรื่องราวแบบ Zero To Hero ของ มาร์ติน ยอร์เกนเซ่น ตำนานนักเตะทีมชาติเดนมาร์ก ที่ติดทีมชาติมากกว่า 100 เกม ที่น่าจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวบนโลกลูกหนัง 

คำว่า Zero ของเขาไม่ได้มาจากคำเปรียบเปรย แต่มันคือ Zero(0) จริงๆ แบบไม่ต้องรอสัญญาหมด เขาคือนักเตะค่าตัว 0 บาทที่มีสโมสร 2 สโมสรเป็นเจ้าของร่วมกัน และทั้งคู่อยากจะผลักไสไล่ส่ง  

และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่คุณอาจะไม่เคยรู้

ปีกสายยิงจาก เดนมาร์ก 

มาร์ติน ยอร์เกนเซ่น คือนักเตะในตำแหน่งริมเส้น ซึ่งโดยปกติเเล้วนักเตะในตำแหน่งนี้จะต้องคล่องแคล่ว ว่องไว เทคนิคเป็นเลิศ ซึ่งในนักเตะเดนมาร์กรุ่นๆ เดียวกันกับเขาเองก็มีมีหลายคนที่โดดเด่นขึ้นมาทั้ง เยสเปอร์ กรุนชาร์ จาก อาแจ็กซ์ หรือ เดนิส รอมเมดาห์ล จาก พีเอสวี ที่ถือว่าเป็นนักเตะเจเนอเรชั่นใหม่ที่ต้องรับบทบาทสานต่อจากยุคทองที่ทัพโคนม คว้าแชมป์ ยูโร 1992   

สไตล์ของ ยอร์เกนเซ่น นั้นจะแตกต่างจาก 2 คนที่กล่าวไปสักหน่อย เขาเป็นรองทั้ง กรุนชาร์ และ รอมเมดาห์ล ในเรื่องของความพริ้ว แต่เรื่องความจมูกไวและสอดเข้ากรอบเขตโทษไปทำประตู รวมถึงพละกำลังในการวิ่งขึ้นลงนั้น ยอร์เกนเซ่น ไม่เคยแพ้ใคร ด้วยสไตล์การเล่นแบบนี้ทำให้เขาได้รับการจับตามองตั้งแต่ยังเด็ก ยอร์เกนเซ่น ได้รางวัลนักเตะเดนมาร์กที่อายุไม่เกิน 21 ปี ที่ดีที่สุดในประเทศในปี 1996 อีกด้วย

หลังจากนั้นปีเดียวเด็กที่เก่งที่สุดในประเทศก็โดน อูดิเนเซ่ ทีมจากลีกสูงสุดใน อิตาลี ดึงตัวไปร่วมทีม และ ยอร์เกนเซ่น เป็นตัวหลักของทีมในทันทีโดยไม่ต้องปรับตัว ผลงานของเขายอดเยี่ยมถึงขนาดที่ว่า โบ โยฮันส์สัน กุนซือทีมเดนมาร์กต้องเรียกชื่อเขาไปเล่นฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสเลยทีเดียว 

"ผมเคยโดนเลียบๆเคียงๆถามเรื่องความพร้อมกับการเล่นทีมชาติชุดใหญ่มาพักหนึ่งแล้ว แต่พอย้ายไป อิตาลี ทุกอย่างก็ชัดเจนมากขึ้น ผมเล่นให้ อูดิเนเซ่ และยิงประตูติดต่อกันได้ถึง 3 เกม จากนั้นผมก็มั่นใจและคิดว่าถึงเวลาของผมเเล้ว"

ยอร์เกนเซ่น ลงตัวจริงทุกเกมในฟร้องซ์ 98 และมีส่วนร่วมพร้อมกับรุ่นพี่อย่าง ไมเคิล และ ไบรอัน เลาดรู๊ป, เอ็บเบ้ ซานด์, โธมัส เฮลเว็ค และ ปีเตอร์ ชไมเคิล พาทีมเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะเสียท่าให้ บราซิล 2-3 โดยในเกมนั้น ยอร์เกนเซ่น เป็นคนยิงประตูแรกของเกมตั้งแต่นาทีที่ 2 อีกด้วย 

หลังจากจบฟุตบอลโลกครั้งนั้นชื่อเขาก็ดังขึ้นมาในระดับหนึ่ง ทีมที่เดินยืดจากผลงานของเขาคือต้นสังกัดอย่าง อูดิเนเซ่ เพราะ ณ เวลานั้น เพราะพวกเขาได้ตัว ยอร์เกนเซ่น จากสโมสร อาร์ฮุส มาแบบฟรีๆ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมใหญ่อะไร ดังนั้นการที่นักเตะเริ่มดังจากฟุตบอลโลก มันมีความหมายว่านักเตะคนนั้นจะมีราคาในท้องตลาดเพิ่มขึ้นและมีโอกาสขายทำกำไร... หากเลือกขายอย่างถูกที่ถูกเวลา 

 

ปล่อยไว้ไม่ได้การณ์ 

ขณะที่ อูดิเนเซ่ กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะมองเห็นเงินก้อนที่กำลังจะมาถึง ในทางกลับกันพวกเขาก็คิดสภาพทีมในตอนนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไร อีกทั้งผลงานในซีซั่น 1997-98 ก็โดดเด่นมากๆด้วยการคว้าอันดับ 3 ของ เซเรีย อา ดังนั้นการเก็บ ยอร์เกนเซ่น ไว้ต่อยอดกับทีมไม่ใช่เรื่องเสียหาย แถมยิ่งนักเตะได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ราคาเพิ่มขึ้น เพราะเขาเพิ่งอายุ 22 ปีเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยยกระดับทีมได้อีกด้วย 


Photo : www.bt.dk 

"หลังจากจบฟุตบอลโลกผมได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นราชาฟุตบอลเดนมาร์กต่อจากพี่น้องเลาดรู๊ป แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันไม่มีใครสามารถแทนที่พวกเขาได้หรอก" ยอร์เกนเซ่น กล่าวไว้

คำกล่าวนี้หากมองเผินๆมันเหมือนกับคำพูดของคนหมดใจ แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ ณ เวลานั้นผลงานหลงจากฟุตบอลโลกของ ยอร์เกนเซ่น ออกแนว มาๆหายๆ ไม่สม่ำเสมอ สาเหตุผลอาการบาดเจ็บที่มักจะมาเยือนเป็นประจำ ปีที่เขาทำผลงานได้ดีที่สุดคือ 1999-2000 ที่สามารถยิงได้ 7 ประตูจาก 30 เกมลีก ทว่าหลังจากนั้นทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป

"จากนั้นผมก็บาดเจ็บบ่อยมาก ตามจุดต่างๆของร่างกาย สิ่งเหล่านี้มันหลอกหลอนผมเสมอ เพราะมันเป็นๆหายๆ ผมบอกได้เลยว่าตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ร่างกายของผมไม่เคยอยู่ในสภาพสมบูรณ์ 100% เลยสักเกม และมันค่อนข้างกัดกินในความรู้สึกและอารมณ์ในการเล่นของผมด้วย" 

เมื่อฟอร์มหายความสนใจที่มีจากสโมสรอื่นๆก็หมดไป ยอร์เกนเซ่น กำลังจะตกกระป๋องแล้ว ติดอย่างเดียวที่เขาไม่ได้เป็นคนใจเสาะ แม้จะผิดหวังสุดในยูโร 2000 ที่เขาไม่สามารถช่วยเดนมาร์กได้ ทีมแพ้รวด 3 เกม และผลงานย่ำแย่เกินจะหาข้อแก้ตัวก็ตาม 

ฟอร์มของเขารูดลงอีกในปี 2002-03 และเขาเริ่มทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าต้องทำอะไรสักอย่าง หนึ่งในนั้นคือการตัดความสบาย เพิ่มความยากลำบากในชีวิตนอกสนาม เพื่อกลับมาคืนฟอร์มในสนามให้ได้อีกครั้ง

เขากลับมาเริ่มดูแลสภาพร่างกาย และไม่ต้องการให้ใครดูแคลนว่าเขาเป็นได้แค่ "เด็กเก่ง" แต่ไม่ถึงขั้น "นักเตะที่ดี" ได้ ด้วยการเริ่มฝึกและเรียกฟิตตั้งแต่ยังไม่เข้าช่วงพรีซีซั่น ขณะที่นักเตะคนอื่นพักร้อน เขากลับเริ่มทำงานหนักเพื่อทำให้ตัวเองพร้อมที่สุดเเล้ว

"นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ผมได้ฝึกซ้อมแบบจริงจังและเต็มสูบที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้กับ อูดิเนเซ่ ตอนนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าผมกำลังกลับเข้าสู่ความฟิตขั้นที่ดีที่สุดอีกครั้ง ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น ผมเป็นคนที่มีสมาธิมากขึ้นทั้งในและนอกสนาม และทั้งหมดนี้จะทำให้ผมดีขึ้นแน่ ... ผมฝันว่าผมจะต้องเล่นครบทุกนัดตลอดทั้งฤดูกาลให้ได้ พาทีมไปให้ไกลในยูฟ่า คัพ และที่สำคัญคือพาเดนมาร์ก กลับมาผงาดในฟุตบอลยูโร 2004" 


Photo : www.bt.dk

ผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงนั้นคือ ยอร์เกนเซ่น ลงเล่นครบ 34 เกมในเซเรีย อา เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับทีม เหตุผลนอกจากเรื่องความฟิตแล้วคือทัศนคติที่พร้อมลงเล่นตรงไหนก็ได้ตามที่โค้ชสั่ง เขาเคยยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า, กองกลางตัวรุก, วิงแบ็ค, ฟูลแบ็ค 

ผลงานในปี 2003-04 น่าประทับใจสุดๆ ยอร์เกนเซ่น กลับมาถูกสื่อชื่นชมอีกครั้ง และนั่นทำให้ทีมอย่าง ฟิออเรนติน่า สนใจตัวเขาขึ้นมา และเกิดการเจรจาซื้อขายอย่างจริงจัง หนนี้ อูดิเนเซ่ พร้อมขายทันที เพราะไม่มีอะไรการันตีว่า ยอร์เกนเซ่น จะสม่ำเสมอแค่ไหน ประกอบกับอายุที่มากขึ้นกำลังจะแตะเลข 3 การเจรจาจึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และจบด้วยการถือสิทธิ์คนละครึ่ง โดยมีความหมายว่าทั้ง อูดิเนเซ่ และ ฟิออเรนติน่า จะเป็นเจ้าของ ยอร์เกนเซ่น ร่วมกัน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าปัญหากำลังจะตามมา… 

 

ความน่าปวดหัวของกฎการครองผู้เล่นร่วมกัน 

เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่อยากถือความเสี่ยงของนักเตะวัย 30 ปี ที่มีอาการบาดเจ็บออดๆแอดๆเสมอ การครองตัวร่วมกันก็เกิดขึ้น โดยกฎการซื้อตัวเเบบนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในวงการฟุตบอลอิตาลีเมื่อสัก 10 กว่าปีก่อน

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการครองสิทธิ์ในนักเตะสโมสรละ 50% ทำให้เกิดการ วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย โดยส่วนใหญ่แล้วดีลประเภทนี้จะเกิดขึ้นในหมู่นักเตะดาวรุ่งที่โด่งดังจากทีมเล็กๆมาก่อน กล่าวคือเมื่อทีมใหญ่อยากจะได้ตัวพวกเขาไป ทีมเล็กจะขอใช้สิทธิ์คนละครึ่งเพื่อเอาไว้ขายต่อในอนาคตในกรณีที่นักเตะคนนั้นเก่งขึ้นมา 


Photo : www.genova24.it

ยกตัวอย่างดีลครองตัวนักเตะร่วมกันที่เข้าใจง่ายและเห็นภาพที่สุดคือครั้งหนึ่งที่ ยูเวนตุส เห็นแววของ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ในสมัยที่เล่นอยู่กับ เจนัว พวกเขาคิดว่าจะทำกำไรจาก ชิโร่ ได้ในอนาคต ทว่าสโมสรยังไม่มีที่ว่างให้ลงสนาม ยูเวนตุส จึงยื่นเงิน 4 ล้านยูโร เพื่อขอซื้อสิทธิ์ในตัวนักเตะครึ่งหนึ่งจากต้นสังกัดอย่าง เจนัว และมีการตกลงกันแบบปีต่อปีว่า "ฤดูกาลนี้นักเตะจะลงเล่นให้ทีมไหน"(แน่นอนว่าปล่อยให้ เจนัว ใช้งานต่อ)  

ซึ่ง เจนัว ที่เป็นทีมเล็กกว่าก็ชอบพอกับข้อเสนอนี้ พวกเขาได้เงินกินเปล่า 4 ล้านยูโรมาใส่ในบัญชี และมีโอกาสที่จะได้เพิ่มอีกหาก ยูเวนตุส คิดจะขาย อิมโมบิเล่ ในอนาคต ทีมไหนที่จะซื้อ อิมโมบิเล่ จะต้องยื้นข้อเสนอแยกเป็น 2 ก้อนคือให้ ยูเว่ 1 ก้อน และให้ เจนัว อีก 1 ก้อน นั่นเอง 

หรือแม้กระทั่งหาก ยูเว่ อยากจะเก็บ อิมโมบิเล่ ไว้ใช้เอง เจนัว ก็จะได้รับข้อเสนอจาก ยูเว่ อีกครั้งเพื่อตกลง "ขายสิทธิ์ในตัวของนักเตะ 100%" เรียกได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ เนื่องจาก พวกเขาจะได้นักเตะไว้ใช้งานแล้ว พวกเขายังได้เงินถึง 2 ก้อนอีกด้วย..

ซึ่งหลังจากที่มีทีม (โตริโน่) สนใจจะซื้อขาด อิมโมบิเล่ ขึ้นมา ยูเวนตุส ก็จ่ายเงินให้ เจนัว อีก 3 ล้านยูโร ก่อนที่พวกเขาจะเอาไปขายต่อให้ โตริโน่ ในราคา 14 ล้านยูโร ... เห็นได้ชัดว่าแม้มันจะดูเอารัดเอาเปรียบทีมเล็กไปหน่อย แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายยินดีกับข้อเสนอและสิทธิ์การครองนักเตะร่วมกัน จึงไม่มีปัญหา... 

ร่ายมายาวขนาดนี้ก็คงจะพอเห็นภาพการครองตัวร่วมกันขึ้นมาบ้าง ซึ่งกรณีของ ยอร์เกนเซ่น ก็เป็นกรณีคล้ายๆอย่างนั้น ถ้าเขาฟอร์มดีและมีทีมไหนอยากจะซื้อขาดค่อยมาคุยกันอีกทีว่าใครจะจ่ายเท่าไหร่ จ่ายเพิ่มอย่างไร แต่ตอนนี้ อูดิเนเซ่ ขอรับเงินก้อนแรกและปล่อยนักเตะไปให้ ฟิออเรนติน่า ใช้งานก่อนตามที่ตกลงกันไว้ 

ด้าน ยอร์เกนเซ่น เองก็ยังลงเล่นให้ ฟิออเรนติน่า อย่างเต็มที่เสมอ แต่ไม่ใช่ตัวหลักในแบบที่ทีมขาดไม่ได้ เขาเป็นนักเตะประเภทสารพัดประโยชน์ และค่อนข้างเป็นที่รักของแฟนๆ ทว่าทุกอย่างตัดสินกันที่ตารางคะแนน และในซีซั่นแรกของเขากับ ฟิออเรนติน่า ไม่ค่อยดีนักทีมจบในอันดับที่ 16 ของตารางจาก 18 ทีม รอดตกชั้นไปแบบหวุดหวิด(ตกชั้น 2 ทีม) และนั่นทำให้ บอร์ดบริหารมองว่าถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงๆจังๆเเล้ว เพราะในปีนั้น ฟิออฯ เปลี่ยนกุนซือถึง 3 คน และมีนักเตะอายุมากเยอะเกินไป 

พวกเขาอยากทำให้ทีมเป็นทีมคนหนุ่ม หนุ่มตั้งแต่โค้ชจนไปถึงนักเตะเพื่อทำให้ทีมเล่นอย่างมีพลัง ดังนั้น ยอร์เกนเซ่น จึงเป็นนักเตะที่เข้าข่ายจะโดนโละทิ้งอย่างแรง เพราะเขาอายุ 30 ย่าง 31 ปี แล้วนั่นเอง 

ปัญหาที่น่าปวดหัวเกิดขึ้นตรงนี้…

เพราะส่วนใหญ่การครองสิทธิ์ร่วมกันจะออกแนว วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย แต่ครั้งนี้ ยอร์เกนเซ่น กลายเป็นนักเตะปัญหาโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาได้กลายเป็นส่วนเกินที่ทีมไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว

ประธานสโมสรทั้ง อูดิเนเซ่ และ ฟิออเรนติน่า จับเข่าคุยกันเพื่อหาทางออกว่าในฤดูกาล 2005-06 ยอร์เกนเซ่น จะไปเล่นให้กับทีมไหนกันแน่? คำตอบคือ "ไม่มีคำตอบ" 

อูดิเนเซ่ มีทีมที่ดีอยู่แล้วและไม่ต้องการนักเตะมาเพิ่มภาระค่าจ้างอีก ขณะที่ ฟิออเรนติน่า ก็เปลี่ยนนโยบายใหม่โละคนเเก่ ซื้อคนหนุ่ม ดังนั้นเมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องว่ากันด้วยกฎอีกครั้ง 

สถานการณ์ของ ยอร์เกนเซ่น แตกต่างกับดีล อิมโมบิเล่ ที่ยกตัวอย่างไว้ข้างต้นแบบสิ้นเชิง เพราะสำหรับ อิมโมบิเล่ นั้นคือการแย่งกันถือสิทธิ์ ขณะที่เคสของ ยอร์เกนเซ่น นั้นออกแนวแย่งกันผลักไสไล่ส่งมากกว่า และเมื่อหาคำตอบไม่ได้ว่านักเตะจะลงเล่นให้ทีมไหนและทีมใดจะจ่ายค่าเหนื่อย ก็ต้องถึงการตัดสินชี้ขาดด้วยกฎนั่นคือ "ยื่นซองประมูล"

กฎการครองตัวร่วมกันมีอยู่ว่าเมื่อตกลงกันไม่ได้ จะต้องมีการยืนซองประมูลของ 2 สโมสรเพื่อครองตัวนักเตะคนนั้นโดย 100% 

การยื่นซองประมูลมันมีวิธีอยู่ว่าทั้งสองทีมจะต้องเอาราคาที่จะซื้อขาดนักเตะคนนั้นใส่ซองจดหมายเข้าไปโดยห้ามเผยแพร่ตัวเลขที่ตนเองใส่ เพื่อยื่นให้กับสมาคมที่ดูแลเรื่องนี้เป็นตัวกลาง โดยทีมไหนใส่จำนวนเงินในการซื้อขาดมากกว่าทีมๆนั้นจะได้ตัวนักเตะคนนั้ไปครองแต่เพียงผู้เดียว

นี่คือเรื่องของกฎ... ทุกคนต้องปฎิบัติตาม แต่ความจริงนั้นเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะกับ ยอร์เกนเซ่น เพราะเมื่อถึงวันเปิดซองประมูล ฟิออเรนติน่า ที่เขาเพิ่งเล่นให้ในปีที่ผ่านมากลับใส่จำนวนเงินมาแค่ 500 ยูโร (ราว 18,000 บาท) เพื่อเป็นค่าตัวของเขา มันแสดงออกว่าพวกเขาไม่ต้องการ ยอร์เกนเซ่น จริงกับราคาขนาดนี้ 

แต่เรื่องยังไม่จบเพราะเมื่อมีการเปิดซองของ อูดิเนเซ่ ความพีคยิ่งกว่าก็บังเกิด เพราะ อูดิเนเซ่ ใส่ตัวเลขในการประมูลเพียงเลขตัวเดียว นั่นคือเลข "0"... ถูกต้องแล้ว พวกเขาจะไม่จ่ายสักบาทสำหรับนักเตะรายนี้ และเมื่อนั้นการประมูลก็สิ้นสุดลง กฎก็ต้องว่าไปตามกฎ ฟิออเรนติน่า เป็นฝ่ายชนะการประมูล และ ยอร์เกนเซ่น ก็ต้องเป็นนักเตะของ ฟิออเรนติน่า ต่อไป.. แต่เพียงผู้เดียว โดยที่ต้นสังกัดได้แต่ปวดหัวเพราะไม่เคยคิดว่าเงิน 500 ยูโร จะมากพอกับการซื้อนักเตะดีกรีทีมชาติเดนมาร์กเช่นนี้ 

 

อย่าให้ตัวเลขตีคุณค่าในตัวเรา

0 อาจจะเป็นตัวเลขที่ไม่มีค่า ทว่าในความไม่มีค่านี้มันยังมีคุณสมบัติพิเศษ เพราะเมื่อนำมันไปต่อท้ายตัวเลขอื่นๆเเล้ว ตัวเลขเหล่านั้นจะมีมูลค่ามากขึ้นทันที…

สำหรับ ยอร์เกนเซ่น ที่เป็นเลข 0 เขาเลือกที่จะมองตัวเองในแบบที่ 2 ... เขาเชื่อว่าตนเองยังมีประโยชน์ต่อทีม เลข 0 อย่างเขาจะทำให้ทีมๆนี้เป็นทีมที่ดีขึ้นและเก่งขึ้นได้ หากเขาได้โอกาส

ชีวิตคนเรานั้นบางทีก็ต้องการโชคชะตาและจังหวะเวลาที่เหมาะสม ขณะที่ ยอร์เกนเซ่น กำลังมีชีวิตนักเตะที่ไร้ทางไป ฟิออเรนติน่า ก็ตั้งโค้ชใหม่และเป็นคนหนุ่มอย่าง เซซาเร่ ปรันเดลลี่ เข้ามาคุมทีม และเมื่อมีโค้ชใหม่นั่นหมายความว่าทุกสิ่งในทีมจะใหม่ทั้งหมด นักเตะในทีมจะถูกเซ็ตค่าความสำคัญไว้เท่ากัน และเป็นหน้าที่ของนักเตะเหล่านั้นที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาดีพอกับโอกาสลงสนามที่โค้ชเป็นผู้มีสิทธิ์เลือก

สิ่งแรกที่ ปรันเดลลี่ ทำกับ ยอร์เกนเซ่น คือการคุยเปิดอกเขาบอกกับ ยอร์เกนเซ่น ในเชิงที่ว่านายไม่ได้เป็นคนไร้ค่าอย่างที่ใครพูด ทีมเรายังต้องการนักเตะที่มีประสบการณ์ และฉันอยากให้นายพิสูจน์ว่าตัวเองคือผู้สมควรกับโอกาสนั้น... นั่นทำให้แข้งตัวเก๋าจาก เดนมาร์ก กลับมามีความหวังอีกครั้ง

"มาร์ติน จะแสดงให้เห็นเองว่าคุณค่าที่แท้จริงของเขาคืออะไร ผมรู้ว่า ปรันเดลลี่ ต้องการเขาและตัวของเขาก็ยังไม่หมดไฟ เขาอยากจะไปฟุตบอลโลกปี 2006 เขาไม่มีปัญหาแน่ที่จะอยู่กับทีมต่อ" อิปโปลิโต้ กัลโลวิช เอเย่นต์ของ ยอร์เกนเซ่น กล่าว 

"มันเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเขาจะถูกไสหัว จุดยืนของ ฟิออเรนติน่า ในตอนนี้คือการสร้างทีมอายุน้อยที่มีนักเตะเสือเฒ่าคอยประคองสัก 2 หรือ 3 คน เชื่อผมเถอะ"  

ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะย้อนความจำกลับไปดูว่า ยอร์เกนเซ่น ในปี 2005-06 ทำอะไรไว้กับ ฟิออเรนติน่า บ้างเพราะมันผ่านเวลามานานโข แต่ที่แน่ๆตัวเลขสถิติมันบอกได้ ปรันเดลลี่ ใช้งานเขาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย (37 จาก 38 เกมลีก) ส่วนผลงานทีมสามารถใช้คำว่าสุดยอดได้สบายๆ เพราะ ฟิออเรนติน่า แพ้เพียง 9 เกมตลอดฤดูกาล คว้าอันดับที่ 4 อย่างน่าประทับใจ  

นอกจากตัวเลขเเล้วสิ่งที่บอกเราได้ว่า ยอร์เกนเซ่น ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีขนาดไหนคือคำบอกเล่าและความชื่นชมจากแฟนบอลวิโอล่า ที่ต่างก็ยกให้เขาเป็นฮีโร่และเป็นขวัญใจอันดับต้นๆของทีม สำคัญที่สุดคือปากคำของ ปรันเดลลี่ ที่ไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์กี่ครั้งก็มักจะบอกว่า ยอร์เกนเซ่น คือนักเตะที่เขาชอบมาก มีความพยายามมุ่งมั่น ทำงานหนักเพื่อลงสนาม และมีความเป็นผู้นำในห้องแต่งตัว เหมาะกับทีมคนหนุ่มของเขาอย่างที่สุด


Photo : it.uefa.com

"ผมจำได้ในตอนแรกไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือลงเเข่งเกมใด เขามักจะโดนแฟนบอลโห่ทุกการสัมผัสบอล ทุกการกระทำของเขาเป็นประเด็นและเป็นข้อโต้เถียงตลอดเวลา... แต่เขาไม่ยอมแพ้”

"ผมเองก็เช่นกัน ผมไม่เคยยอมแพ้เเละหมดหวังในตัวเขา ในตอนสุดท้ายคุณจะได้เห็นว่า มาร์ติน ยอร์เกนเซ่น คือไอดอลของเมือง ฟลอเรนซ์ ไปแล้ว" ปรันเดลลี่ กล่าว

ด้าน ยอร์เกนเซ่น ก็แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นโชคดีและจังหวะชีวิตที่ลงตัวที่ทำให้เขาได้มาเจอโค้ชที่เชื่อใจในลูกทีมอย่าง ปรันเดลลี่ มิเช่นนั้น เขาอาจจะต้องถอดใจและย้ายกลับไปเล่นฟุตบอลในลีกเดนมาร์กไปแล้ว

"ผมอ่านความรู้สึกของโค้ชและพยายามเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือผมอยากขอบคุณทุกคำชื่นชมที่โค้ชกล่าวถึงผม ภายใต้การทำงานของ ปรันเดลลี่ เขาจะทำให้นักเตะหนุ่มเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเป็นนักฟุตบอลที่ดีได้แน่นอน" ยอร์เกนเซ่น กล่าว 

จากดาวเตะ 0 บาทไร้ค่าสู่ไอดอลของแฟนๆและเพื่อนร่วมทีม ยอร์เกนเซ่น อยู่กับทีมต่อไปอีก 5 ฤดูกาล ลงสนามทั้งหมดเกือบ 200 เกม พาทีมไปเล่นฟุตบอลยุโรปทั้งถ้วยเล็กถ้วยใหญ่ เคยยิงประตูใส่ลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ แลอะไรต่อมิอะไรมากมาย แม้ไม่เคยประสบความสำเร็จระดับคว้าแชมป์แต่การได้เป็น "คัลท์ ฮีโร่" ของเมืองๆนี้ ก็ยังทำให้เขาได้ภูมิใจเสมอและได้เข้าใจว่าการทำงานหนักของเขาไม่เคยเสียเปล่า  


Photo : www.sport.net | Ian Hodgson

เขาย้ายออกจาก ฟิออเรนติน่า เมื่ออายุ 35 ปี หลังหมดสัญญาในปี 2010 ก่อนจะกลับไปเล่นให้กับ อาร์ฮุส ทีมแรกที่เเจ้งเกิดในฐานะนักเตะอาชีพของเขา โดยเล่นต่อไปจนอายุ 40 ปี และแขวนสตั๊ดในท้ายที่สุด 

ไม่ว่าที่ไหนที่เขาเคยไปทุกคนต่างบอกเล่าถึงการเป็นมืออาชีพของ มาร์ติน ยอร์เกนเซ่น เสมอ ดูแลร่างกาย ขยันซ้อม พร้อมเป็นหนึ่งกับผู้เล่นคนอื่นๆเพื่อทีม และนี่เรื่องราวตำนานของนักเตะที่มีราคา 0 บาท กับบทพิสูจน์ว่า "จะมีค่าหรือไม่" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครบอกและตัดสินเรา แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเรายังเชื่อว่าตนเองยังมีค่าอยู่หรือเปล่าเท่านั้น 

ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นและแน่จริง การพิสูจน์ตัวเองจะมาถึง และเมื่อโอกาสนั้นเข้ามา การเป็นคนที่พร้อมรับทุกการแข่งขันจะทำให้คุณได้ประกาศตัวเองให้ทุกคนรู้ว่าแท้จริงเเล้ว "คุณคือใคร" 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook