ดินาโม vs เรดสตาร์ : เกมลูกหนังชนวนสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่การล่มสลายของยูโกสลาเวีย

ดินาโม vs เรดสตาร์ : เกมลูกหนังชนวนสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่การล่มสลายของยูโกสลาเวีย

ดินาโม vs เรดสตาร์ : เกมลูกหนังชนวนสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่การล่มสลายของยูโกสลาเวีย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ครั้งหนึ่งในอดีต ประเทศยูโกสลาเวียได้สร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรให้ชาวโลกได้รับรู้ผ่านทางกีฬาฟุตบอล และฟุตบอลทีมชาติของพวกเขา ที่ไม่ว่าจะแชมป์ยูโรหรือเหรียญทองโอลิมปิกก็เคยคว้ามาครอบครองแล้วทั้งสิ้น หรือจะศึกฟุตบอลโลกก็ไปได้ไกลถึงอันดับที่ 4

ทว่าในอีกมุมหนึ่ง กีฬาฟุตบอลที่พวกเขาเชี่ยวชาญได้กลายเป็นหนึ่งในชนวนที่นำไปสู่การล่มสลายของประเทศยูโกสลาเวียเช่นกัน และที่สำคัญชนวนดังกล่าวเกิดขึ้นจากแมตช์ฟุตบอลเพียงแมตช์เดียว

ก่อนที่จะมีการแบ่งลีกแยกประเทศเหมือนในปัจจุบัน ดินาโม ซาเกร็บ มหาอำนาจลูกหนังแห่งโครเอเชีย กับ เรดสตาร์ เบลเกรด ยักษ์ใหญ่จากเซอร์เบีย ถือเป็นสองสโมสรที่มีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด แต่คงไม่มีเหตุการณ์ครั้งไหนจะหนักหนาเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 พฤษภาคม ปี 1990 อีกแล้ว

เกิดอะไรขึ้นในวันนั้น? และมันนำไปสู่สงคราม, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, การประกาศเอกราชประเทศอย่างไร? ติดตามได้ที่ Main Stand

รอยร้าวแห่งยูโกสลาเวีย

ก่อนจะไปถึงเหตุการณ์อันเป็นจุดไคลแมกซ์ของบทความนี้ อยากให้ทุกคนได้รู้ถึงประวัติศาสตร์และความขัดแย้งภายในประเทศยูโกสลาเวียกันก่อน เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมด 

ยูโกสลาเวียมีเริ่มต้นฐานะรัฐชาติอย่างเป็นทางการในปี 1918 โดยเกิดขึ้นจากการวมกันของหลายอาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรของคนกลุ่มเซิร์บ, โครแอต และสโลวีน หรือกลุ่มคนที่พูดภาษาและวัฒนธรรมสลาวิคใต้  รวมถึงเชื้อชาติอื่นๆ ที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค 

1

ในปี 1921 มีประชากรประมาณ 12 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวเซิร์บ 6 ล้านคน เป็นโครแอต 3 ล้านคน คนสโลวีน 1 ล้านคน และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ อีก 2 ล้านคน โดยมีศาสนาและภาษาที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับเชื้อชาติ

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่ายูโกสลาเวียคือประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างมาก ก่อให้เกิดความแตกต่างที่ฝังรากลึกลงในวัฒนธรรม ไมว่าจะศาสนา ความเชื่อ หรือภาษา ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่การเติบโตขึ้นของประเทศจะซ่อนความขัดแย้งร้าวลึกไว้ภายใน

อีกปัจจัยที่สร้างความแตกแยกระหว่างกลุ่มเชื้อชาติคือสภาพสังคมเศรษฐกิจที่แต่ละกลุ่มมีความเหลื่อมล้ำกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น กลุ่มสลาฟในสโลวีเนีย โครเอเชีย โวจโวดินา กับคนในแถบตะวันตกของคาบสมุทรบอลข่านซึ่งเคยอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิฮับสบวร์กหรือออสโตร-ฮังกาเรียน ทำให้ได้รับอิทธิพลและเทคโนโลยีแบบยุโรปตะวันตกจากภาคพื้นทวีปตอนบน ต่างจากกลุ่มสลาฟที่เป็นคริสต์ออธอดอกซ์ที่การพัฒนาล้าหลังกว่า เนื่องจากได้รับอิทธิพลของจักรวรรดิออตโตมันที่ได้รับมีความเข้มข้นกว่า

ในช่วงที่โลกกำลังคุกรุ่นด้วยสงครามเย็น เศรษฐกิจของยูโกสลาเวียก็ตกต่ำตามไปด้วย เนื่องจากความช่วยเหลือที่เคยได้รับจากสหรัฐอเมริกาลดลง เพราะอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่าง นอกจากนั้น ยูโกสลาเวียก็มีความขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตในประเด็นการส่งสายลับเข้าไปสอดแนมซึ่งกันและกันด้วย

ยูโกสลาเวียแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งออกแรงงานไปยังยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะเยอรมนีตะวันตก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวเพื่อดึงรายได้เข้าประเทศ โดยภูมิภาคที่ได้รับการส่งเสริมคือชายฝั่งทะเลแถบดัลเมเทีย ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศโครเอเชีย ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มคนต่างเชื้อชาติชัดเจนมากขึ้น

เข้าสู่ยุค 70s เศรษฐกิจของยูโกสลาเวียก็ตกต่ำอีกครั้งด้วยพิษเศรษฐกิจโลก ติโต ในฐานะผู้นำประเทศ ใช้ยุทธศาสตร์คล้ายกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคยุโรปตะวันออกและลาตินอเมริกาที่ประสบปัญหาเดียวกัน คือ กู้ยืมเงินต่างประเทศ จนกลายเป็นต้นเหตุของหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลกว่า 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ทว่าเหมือนยิ่งแก้จะยิ่งแย่ เนื่องจากรัฐบาลจำเป็นต้องขึ้นภาษีเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ก้อนดังกล่าว จนนำไปสู่การขาดแคลนสินค้านำเข้าอย่างพลังงาน การถอนการลงทุนและอัตราการว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น

ติโต ไม่ได้อยู่เห็นการล่มสลายของยูโกสลาเวียด้วยตาตัวเอง เนื่องจากเขาถึงแก่อสัญกรรมไปในปี 1980 ก่อนที่ยูโกสลาเวียจะมีผู้นำคนใหม่ชื่อ สโลโบดัน มิโลเชวิช (Slobodan Milošević) ผู้มีเชื้อสายมอนเตเนกริน ซึ่งผู้นำคนใหม่นี่แหละ คือ คนที่เร่งการล่มสลายของประเทศให้เร็วทันตาเห็นขึ้นไปอีก

ผู้นำคนใหม่มาพร้อมกับแนวคิดการปกครองแบบใหม่ ด้วยการชูอุดมการณ์ชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์แบบสุดโต่ง มิโลเชวิช สร้างความชอบธรรมและอำนาจให้กับกลุ่มคนเชื้อสายเซิร์บ ร่วมกับองค์กรการเมืองอย่างสันนิบาตคอมมิวนิสต์เซอร์เบีย (Serbia League of Communists) นำมาซึ่งการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์บนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ขบวนการแยกตัวเป็นรัฐอิสระเริ่มเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ขณะที่อุดมการณ์ชาตินิยมขยายตัวอย่างเข้มข้น และพัฒนาเป็นความขัดแย้งรุนแรง

การดำเนินนโยบายนี้ของ มิโลเซวิช เริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายนปี 1987 ขณะที่เขาเดินทางไปแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวเซิร์บกับโคโซวาร์ ณ จังหวัดโคโซโว เขารับฟังปัญหาจากคนเชื้อสายเซิร์บที่ถูกคนโคโซวาร์กดขี่ มิโลเชวิช รับปากว่าจะช่วยจัดการปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยยึดชาวเซิร์บเป็นที่ตั้ง

2

หลังจากนั้น มิโลเชวิช ก็เริ่มสร้างกระแสชาตินิยมในหมู่ชาวเซิร์บมากยิ่งขึ้น โดยดึงเอาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอ่อนไหวสำหรับชาติพันธุ์ต่างๆในยูโกสลาเวียอย่าง "สมรภูมิโคโซโว" (Battle of Kosovo) ซึ่งเกิดขึ้นและจบลงไปกว่า 600 ปี มาใช้ปั่นความรู้สึกผู้คน

การเข้ามาของ มิโลเชวิช ผู้มีแนวคิดเชื้อชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งแตกต่างกับ ติโต ที่ตลอด 35 ปีของการบริหารประเทศเขาใช้แนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ที่ต้องการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของสังคม ลดทอนสำนึกความภาคภูมิใจในเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งลงอย่างตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นตัวปลุกชนวนให้ขบวนการเรียกร้องขอแยกตัวเป็นรัฐอิสระจากยูโกสลาเวียก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น

หนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีความประสงค์อยากแยกตัวอย่างแรงกล้าคือ โครเอเชีย โดยรัฐบาลของพวกเขาต้องการสร้างรัฐที่มีชนกลุ่มใหญ่เป็นคนโครแอตนับถือคริสต์นิกายคาทอลิก และแสดงท่าทีต่อต้านการขึ้นครองอำนาจของเซิร์บที่ถือคริสต์นิกายออธอดอกซ์ในเซอร์เบียอย่างแข็งกร้าว

แม้จะมีการลงประชามติภายในโครเอเชีย แต่ชาวเซิร์บซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยกลับคว่ำบาตร ความขัดแย้งจึงเริ่มทวีดีกรีความเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเหตุการณ์สำคัญในวันที่ 13 พฤษภาคม ปี 1990

กังฟูคิก สัญลักษณ์แห่งการไม่ยอมจำนน

ก่อนที่ลีกฟุตบอลประเทศโครเอเชียกับเซอร์เบียจะแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงดังเช่นทุกวันนี้ ย้อนกลับไปในยุคก่อนทศวรรษที่ 90 พวกเขาเคยขับเคี่ยวในลีกของประเทศยูโกสลาเวียที่มีชื่อว่า Yugoslav First League 

3

แน่นอนว่า ดินาโม ซาเกร็บ กับ เรดสตาร์ เบลเกรด ซึ่งเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ในบทความนี้คือคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันอย่างเอาเป็นเอาตายมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงปลายทศรรษ 80 ต่อต้นทศวรรษ 90 ที่ปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติระหว่างชาวโครแอตกับชาวเซิร์บ ซึ่งมีสาเหตุจากนโยบายด้านชาติพันธุ์ของ สโลโบดัน มิโลเชวิช ดุเดือดร้อนแรงกว่าที่ผ่านมา ก็ส่งผลโดยตรงต่อบรรยากาศการแข่งขันในสนามฟุตบอลของทั้งสองทีมนี้ เนื่องจากทีมหนึ่งคือตัวแทนของชาวโครแอต อีกทีมคือความภาคภูมิใจของชาวเซิร์บ

ก่อนที่ฟางเส้นสุดท้ายแห่งความขัดแย้งดังกล่าวจะมอดไหม้ลงในวันที่ 13 พฤษภาคม ปี 1990 หลายคนเรียกมันว่า "วันที่สงครามเริ่มต้น"

ถึงแม้ก่อนการแข่งขันนัดดังกล่าวจะเริ่มต้นขึ้น เรด สตาร์ เบลเกรด จะการันตีแชมป์ประจำฤดูกาลไปแล้วจากการที่พวกเขามีแต้มมากกว่าทีมอันดับที่ 2 อย่าง ดินาโม ซาเกรบ กว่า 20 แต้ม แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอลอีกต่อไป มันคือเรื่องของศักดิ์ศรีด้านเชื้อชาติ ดังนั้น จึงมีแฟนบอล เรด สตาร์ มากกว่า 3,000 ชีวิตลงทุนเดินทางกว่า 400 กิโลเมตรไปยังกรุงซาเกร็บเพื่อรับชมเกมนี้

หลายชั่วโมงก่อนการแข่งขันจะเริ่ม เค้าลางแห่งความโกลาหลก็เริ่มส่งสัญญาณเตือน เมื่อกลุ่มแฟนบอล เรด สตาร์ จำนวนมาก ก่อเหตุชุลมุนปาก้อนหินใส่กลุ่มแฟนบอลดินาโม ทำลายป้ายโฆษณาต่างๆภายในเมือง พร้อมตะโกนว่า..

"เราจะฆ่าพวกมันให้หมด ซาเกร็บคือเซอร์เบีย!" ก่อนจะตามมาด้วยเหตุชุลมุนจนมีผู้บาดเจ็บไปหลายราย

4

เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมเหตุการณ์ปะทะนอกสนามดังกล่าวได้สำเร็จ แฟนบอลทั้งสองทีมแยกย้ายกันไป ก่อนที่พวกเขาจะโคจรมาเจอกันอีกครั้ง ณ Maksimir Stadium รังเหย้าของ ดินาโม ซาเกร็บ โดยในวันดังกล่าวมีรายงานว่าจำนวนแฟนบอลในสนามอยู่ที่ประมาณ 15,000-20,000 คน 

ยังไม่ทันที่เสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันจะดังขึ้น ภายใน Maksimir Stadium ก็กึกก้องไปด้วยเสียงตะโกนด่าทอกันระหว่างแฟนบอลทั้ง 2 ทีม เสียงร้องเพลงเหยียดเชื้อชาติซึ่งกันและกัน รวมถึงการแสดงสัญลักษณ์ท่าทางอันก้าวร้าวอย่างไม่มีใครยอมใคร

"ความตึงเครียดในวันนั้นมันชัดเจนมากๆ ราวกับสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานยูโกสลาเวียจะต้องสลายตัว" สเตฟาน สโตจาโนวิช ผู้รักษาประตูทีม เรด สตาร์ ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าเสาในวันนั้นกล่าว

ในที่สุด สถานการณ์ที่เหมือนหม้อต้มน้ำร้อนก็ปะทุถึงจุดเดือดก่อนเสียงนกหวีดจะดังเพียงไม่กี่นาที เมื่อกลุ่มแฟนบอลดินาโม ซาเกร็บ พังรั้วที่กั้นระหว่างอัฒจันทร์กับสนามลง ก่อนที่จะกรูกันลงมาเต็มพื้นที่สนาม เป้าหมายคือกลุ่มแฟนบอลเรดสตาร์ซึ่งประจำอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม

เช่นเดียวกับกลุ่มแฟนบอลเรด สตาร์ เองที่ก็พังรั้วกั้นเพื่อจะลงไปประจัญบานกับกลุ่มแฟนบอลดินาโม ถึงแม้เจ้าหน้ที่ตำรวจจะพยายามสกัดกั้นโดยใช้ทั้งกระบองและแก๊สน้ำตาจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถทัดทานกับคลื่นมวลชนอันมหาศาลได้

5

"มันคือความโกลาหล มีการเขวี้ยงหินกันตลอดเวลา รวมถึงแก๊สน้ำตาที่ฟุ้งกระจายไปทั่วสนาม ในตอนนั้นชัดเจนแล้วว่าการแข่งขันนัดนี้จะไม่เกิดขึ้น" สโคลาฟ สครินชา อดีตกองกลางทีมดินาโม ซาเกร็บ ที่อยู่ในสนามวันดังกล่าวเผย

ท่ามกลางความวุ่นวายที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป บรรดานักเตะของทั้งสองทีมต่างทยอยวิ่งหนีตายเข้าไปในอุโมงค์เพื่อกลับสู่ห้องแต่งตัว ทว่าก็มีนักเตะบางคนที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในสนาม หนึ่งในนั้นคือ ซโวนิเมียร์ โบบัน นักเตะตำนานแห่งทีมชาติโครเอเชีย และสโมสรเอซี มิลาน ซึ่งขณะนั้นยังค้าแข้งอยู่กับดินาโม ซาเกร็บ 

6

"ผมเห็นว่าตำรวจปฏิบัติต่อแฟนบอลทีมเราอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขามุ่งแต่จะทำร้ายแฟนบอลทีมเราโดยไม่สนใจที่จะห้ามปรามฝ่าย เรด สตาร์ เลย เช่นเดียวกับที่ชาวเซิร์บเอาเปรียบเชื้อชาติอื่นๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งนี้มากๆ และจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นอีกต่อไป" โบบัน กล่าว

หนึ่งในวีรกรรมที่ทำให้ชื่อของ โบบัน โด่งดังไปทั่วโลก ไม่ใช่ในฐานะยอดนักเตะ แต่เป็นในฐานะของคนธรรมดาคนหนึ่งผู้มีความกล้าในการลุกขึ้นมายืนหยัดต่อสู้กับการกดขี่ทั้งปวงที่ยูโกสลาเวียภายใต้การนำของ มิโลเชวิช กดขี่ชาวโครแอทมาโดยตลอด คือการที่เขากระโดดเตะ "กังฟูคิก" ใส่ เรฟิค อาเมโตวิค เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเข้ามาทำหน้าที่หยุดการจลาจลในสนาม

7

"ผมเห็นตำรวจคนนั้นกำลังทำร้ายแฟนบอลของเรา ผมเลยพยายามเข้าไปช่วยเขา"

"ผมเป็นบุคคลสาธารณะที่พร้อมจะแลกด้วยชื่อเสียง เงินทอง และชีวิต เพื่ออุดมการณ์ของชาวโครแอต" โบบัน กล่าวกับ CNN หลังเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านพ้นไปแล้ว

ถึงแม้ในสมองของ โบบัน ขณะที่กำลังกังฟูคิกใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่มีเรื่องการเมืองเจือปนอยู่เลย เขาเพียงแค่อยากปกป้องเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่จากภาพถ่ายที่ออกมามันได้สะท้อนไปถึงจิตวิญญาณของชาวโครแอตทุกคนว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีความกล้าเช่นเดียวกับ โบบัน กล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับอิทธิพลของชาวเซิร์บที่กดขี่ชาวโครแอตภายใต้การปกครองของยูโกสลาเวีย

8

หลังจากที่ โบบัน กระโดดเตะใส่ตำรวจนายดังกล่าวเสร็จ เขาก็กลายเป็นเป้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและแฟนบอลเรดสตาร์กรูกันเข้ามาทำร้ายทันที แต่สุดท้าย โบบัน ก็ได้โล่มนุษย์ของแฟนบอลดินาโมช่วยให้เขารอดผ่านสมรภูมิ Maksimir มาได้

ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่เหตุการณ์จลาจลครั้งนี้จะถูกควบคุมได้สำเร็จ เคราะห์ดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่จำนวนผู้บาดเจ็บนั้นมีมากกว่า 500 คน โดยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 78 คน และมีแฟนบอล 65 คนถูกจับกุมตัวไปดำเนินคดี

"เหตุการณ์ในครั้งนี้สะท้อนภาพขัดแย้งในประเทศยูโกสลาเวีย ณ ขณะนั้นได้เป็นอย่างดี" อีกหนึ่งความเห็นของ โบบัน

สู่วันที่เอกราชเบ่งบาน

ถึงแม้ว่าสื่อมวลชนของประเทศยูโกสลาเวียในขณะนั้นจะพยายามนำเสนอข่าวในแง่มุมที่ว่าเหตุการณ์จลาจล Maksimir นั้นเป็นแผนการอันแยบยลที่รัฐบาลใหม่ของประเทศโครเอเชีย ซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้งก่อนหน้านั้นไม่กี่สัปดาห์วางเอาไว้ เพื่อจุดชนวนสร้างสถานการณ์ให้ประชาชนแข็งข้อกับยูโกสลาเวีย และหวังที่จะประกาศตัวเองเป็นเอกราชก็ตาม เพื่อต้องการที่จะลดแรงกระเพื่อมในหมู่มวลชนชาวโครแอต

ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันการเสียแล้ว จลาจล Maksimir และลูกเตะกังฟูคิกของ โบบัน ได้กลายเป็นเหมือนไฟไหม้ฟางที่ลามไปอย่างไม่หยุดยั้ง ปลุกจิตวิญญาณนักสู้ในใจชาวโครแอตให้โชติช่วงขึ้นมา 

9

ถึงแม้จะไม่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคือชนวนเริ่มต้นของสงครามปลดแอกโครเอเชีย เพราะหลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่ช่วยโหมไฟให้แรงขึ้น เช่น ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน แฟนบอลของทีม ไฮดุ๊ก สปลิท ได้เผาธงชาติยูโกสลาเวีย ก่อนจะร้องเพลงปลดแอกเพื่อเอกราชในเกมลีกเกมหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการที่ประเทศโครเอเชียได้รับเอกราช

"เหตุการณ์จลาจลกังกล่าวคือตัวเร่งปฏิกริยาทางสังคม และปลุกจิตใจที่โดนกดทับของชาวโครแอตให้ลุกขึ้นสู้ ซึ่งสุดท้ายมันได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ" กัล คริน นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์แห่ง University of Zagreb ให้ความเห็น

"หลังจากที่ชาวโครแอตได้เห็นเหตุการณ์จลาจลดังกล่าว บอกได้เลยว่าหัวใจของพวกเขาตอนนั้นโคตรพร้อมที่จะสู้" ความเห็นของ แฟรงก์ คลินโฟเออร์ คอลัมนิสต์ของ Croatia Week

กล่าวได้ว่าเหตุการณ์จลาจล Maksimir เปรียบเสมือนระฆังเริ่มต้นที่นำไปสู่สงครามปลดแอกประเทศโครเอเชียซึ่งดำเนินในช่วงปี 1992-1995 ซึ่งถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าวจะมีชาวโครเอเชียเสียชีวิตไปมากกว่า 20,000 คน จากการที่ยูโกสลาเวียของ มิโลเชวิช พยายามจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโครแอต แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ และประกาศตัวเองเป็นประเทศเอกราชในปี 1995

10

ไม่ใช่แค่โครเอเชียเท่านั้น แต่ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่ถูกกดขี่จาก "ลัทธิเซิร์บเป็นใหญ่" ในยูโกสลาเวีย ก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้ทำสงครามเพื่อปลดแอกเอกราชเช่นเดียวกัน เช่น สงครามแบ่งแยกบอสเนียฯ, สงครามมาซิโดเนีย, สงครามโคโซโว เป็นต้น จนในที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายของประเทศยูโกสลาเวีย

สงครามอดีตยูโกสลาเวียถูกเรียกว่าเป็นความขัดแย้งอันนองเลือดที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองที่ถูกตัดสินว่ามีลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นทางการ บุคคลสำคัญจำนวนมากที่เกี่ยวข้องถูกตั้งข้อหาอาชญากรรมสงครามในเวลาต่อมา

ศูนย์เพื่อความยุติธรรมระหว่างประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน รายงานว่าสงครามยูโกสลาเวียคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 140,000 ราย

ส่วน มิโลเชวิช ผู้นำเผด็จการแห่งยูโกสลาเวีย หลังจากที่หมดอำนาจลงก็ถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีโดยคณะตุลาการอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย (International Criminal Tribunal for the former Yugoslavia: ICTY) ภายใต้สหประชาชาติ ที่ตั้งขึ้นเป็นกรณีพิเศษอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะอาชญากรทางการเมืองที่ก่อให้เกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่เขาเสียชีวิตจากโรคหัวใจล้มเหลวเสียก่อนได้รับการลงโทษ

ในขณะที่ โบบัน หนึ่งในบุคคลสำคัญของเหตุการณ์ดังกล่าว ถึงแม้ว่าลูกเตะกังฟูคิกครั้งนั้นจะทำลายโอกาสในการติดทีมชาติยูโกสลาเวียไปเล่นฟุตบอลโลกปี 1990 แต่เขาก็กลายเป็นฮีโร่ของชาวโครแอตทั้งชาติ โดยทางรัฐบาลโครเอเชียได้มอบรางวัล "แพนธีออน" ซึ่งแสดงถึงฐานะวีรบุรุษของประเทศให้กับเขา

11
12หลังจากฝุ่นควันแห่งสงครามจางหาย ด้านนอกของสนามกีฬา Maksimir Stadium ก็ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ 13 พฤษภาคม 1990 พร้อมสลักข้อความไว้ว่า

"ถึงแฟนๆดินาโมทุกคนที่เป็นผู้เริ่มสงครามเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1990 และจบลงด้วยการสละชีวิตของพวกเขาบนแท่นบูชาแห่งแผ่นดินบ้านเกิดของพวกเราชาวโครเอเชีย"

แค่ข้อความสั้นๆนี่ก็บ่งบอกได้แล้วว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นสำคัญต่อชาวโครแอตทั้งชาติแค่ไหน

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ ดินาโม vs เรดสตาร์ : เกมลูกหนังชนวนสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่การล่มสลายของยูโกสลาเวีย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook