"รอน ฮาร์เปอร์" : การ์ดเบอร์รองที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ "จอร์แดน-โคบี"

"รอน ฮาร์เปอร์" : การ์ดเบอร์รองที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ "จอร์แดน-โคบี"

"รอน ฮาร์เปอร์" : การ์ดเบอร์รองที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ "จอร์แดน-โคบี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ทุกคนมักจะถามผมว่า ระหว่าง เอ็มเจ กับ โคบี ใครเก่งกว่ากัน? เพราะผมได้เล่นร่วมกับพวกเขาในวันที่พวกเขาอยู่ในจุดพีคทั้งคู่.. เอางี้ ผมจะเล่าให้ฟัง"

บาสเกตบอล คือกีฬาที่ส่งผู้เล่นลงสนามได้ 5 คนก็จริง ทว่าในการแข่งขันจริง ผู้เล่นแทบทั้งทีมจะได้มีส่วนร่วมกับเกมเสมอ การเปลี่ยนเข้า เปลี่ยนออก เกิดขึ้นได้ทุกวินาที และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมใน NBA จึงควรมีผู้เล่นที่หลากหลาย และมีตัวสำรองที่คุณภาพการเล่นสูง 

นี่คือเรื่องราวของตัวสำรองอย่าง รอน ฮาร์เปอร์ ชายผู้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นลูกหาบของ ชิคาโก บูลส์ ในยุคที่ ไมเคิล จอร์แดน เรืองอำนาจ และ สมาชิกของ ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส ในวันที่ โคบี ไบรอันท์ เพิ่งก้าวขึ้นมารุ่งเรือง 

เขามีส่วนสำคัญอย่างไรในการผลักดัน 2 โคตรผู้เล่นแห่งยุค? และคำตอบที่เพิ่งเปิดเผยว่า สำหรับ รอน ฮาร์เปอร์.. โคบี หรือ เอ็มเจ เก่งกว่ากัน? จะถูกเฉลยที่นี่..

ไม่ได้มาเพื่อแทนใคร 

รอน ฮาร์เปอร์ คือผู้เล่นตำแหน่งการ์ดฝีมือดีมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เขาใช้เวลา 4 ปีที่มหาวิทยาลัยไมอามี สร้างผลงานที่โดดเด่นเกินผู้เล่นรุ่นเดียวกัน เขาคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของ MAC (Mid-American Conference) ได้ 2 สมัย และเป็นเจ้าของสถิติทำแต้มได้มากที่สุดตลอดกาลของทีมด้วยแต้มรวม 2,377 คะแนน หลังจากนั้นเขาก็เลือกเข้าสู่ระบบการดราฟต์ผู้เล่นของ NBA 

1

คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส คือทีมแรกของเขาด้วยการเป็นดราฟต์อันดับที่ 8 ในปี 1986 จุดเริ่มต้นใน NBA เป็นไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ปีแรก ฮาร์เปอร์ โชว์ฟอร์มได้ดี ยิงเฉลี่ยเกมละ 22.9 แต้ม 4.8 แอสซิสต์ และ 4.8 รีบาวด์ นั่นมากพอทำให้เขาถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นรุกกี้ยอดเยี่ยมแห่งปีของ NBA เลยทีเดียว 

ฮาร์เปอร์ เด่นขึ้นเรื่อยๆในทุกๆปี และได้รับการเทรดไปอยู่กับ แอลเอ คลิปเปอร์ส ในฤดูกาล 1989-90 ที่แอลเอ เขาไต่ระดับขึ้นมาเป็นกัปตันทีมได้สำเร็จ และนั่นทำให้ท้ายที่สุดแล้ว ทีมที่เก่งที่สุดในยุคนั้นอย่าง ชิคาโก บูลส์ ก็เซ็นสัญญาเขาไปในฐานะผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ในฤดูกาล 1994-95 

เหตุผลเดียวที่ บูลส์ ต้องการตัวทำแต้มอย่าง ฮาร์เปอร์ นั่นก็เพราะว่าหลังจากจบฤดูกาล 1993-94 ไมเคิล จอร์แดน ได้ประกาศว่าจะออกจากวงการ NBA หน้าที่ที่ ฮาร์เปอร์ ในวัย 30 ปีต้องทำ คือนำเอาประสบการณ์ที่สั่งสมมาเข้ามาช่วยทั้งทีม เพื่อทดแทนการขาดหายไปของคนที่เก่งที่สุดอย่าง จอร์แดน นั่นเอง

2

"เขาเป็นเป้าหมายของเรามานานแล้ว รอน ฮาร์เปอร์ จะทำให้เรามีทีมที่โดดเด่นเรื่องการเล่นเกมรับ เขามีทัศนคติที่ดีและเป็นคนที่แข็งแกร่งตรงกับคาแร็คเตอร์ของทีมเรา" เจอร์รี่ เคราส์ ผู้จัดการทั่วไปของ บูลส์ ว่าไว้เช่นนั้น 

หนังสือพิมพ์ Chicago Tribune พยายามอธิบายว่าทำไมต้องเป็น ฮาร์เปอร์ ด้วยการขยายความว่า เขาคนนี้อาจจะไม่เข้ากับกลยุทธ์สามเหลี่ยม หรือ Triangle Offense ที่ ฟิล แจ็คสัน โค้ชของทีมสร้างให้ บูลส์ เรืองรองมาหลายปี แต่สิ่งที่ แจ็คสัน ต้องการจากเขาไม่ใช่การเล่นแบบนั้น เขารู้ดีว่าการขาดหายไปของ จอร์แดน จะทำให้เกมรุกของทีมหายไป แต่ในขณะเดียวกันเกมรับก็เล่นยากขึ้น เพราะเมื่อ จอร์แดน อยู่ บูลส์ มักจะเป็นฝ่ายบุกและเล่นเกมรุกมากกว่า

ดังนั้น เมื่อไม่มี จอร์แดน.. ชิคาโก บูลส์ ต้องการผู้เล่นที่สร้างความสมดุลให้ทีมอย่าง รอน ฮาร์เปอร์ นั่นเอง

"เราให้คำจำกัดความของ รอน ว่าเป็นผู้เล่นที่มีส่วนผสมของนักทำแต้ม และคนที่เล่นเกมรับได้ดี ผู้เล่นแบบนี้ที่เรามองหา เขาจะเข้ามาและลงตัวในระบบการเล่นของเราแน่นอน" ฟิล แจ็คสัน ว่าไว้ 

3

อย่างไรก็ตาม เมื่อฤดูกาล 1994-95 เริ่มขึ้น หลายคนมองข้ามสิ่งที่ ฟิล แจ็คสัน บอก โฟกัสของทุกหน้าหนังสือพิมพ์เอาแต่พูดเรื่องการขาดหายไปของ จอร์แดน เสมอ เกมใดที่ บูลส์ แพ้ พาดหัวข่าวก็มักจะออกมาในแนวๆที่ว่า "ขาด MJ ขาดใจ" อะไรประมาณนั้น แม้ว่าความจริงการที่ จอร์แดน ไม่อยู่ก็ส่งผลแน่ ทว่าผู้เล่นของ บูลส์ ชุดนั้นช่วยกันทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป และ สก็อตตี้ พิพเพ่น ก็ขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญหลัก ขณะที่ ฮาร์เปอร์ ที่เข้ามาในฐานะผู้เล่นใหม่ก็เป็นส่วนเติมเต็มที่ยอดเยี่ยม

สถิติของ ฮาร์เปอร์ คือการได้ออกสตาร์ท 53 จาก 77 เกม การทำแต้มของเขาลดลงจากสมัยเล่นให้กับ คลิปเปอร์ส และ แคฟส์ พอสมควร เหลือเพียง 6.9 แต้มต่อ 1 เกม แต่นั่นเองเป็นแท็คติกของ ฟิล แจ็คสัน ที่ต้องการให้ ฮาร์เปอร์ เข้ามาอุดเกมรับ และใช้มันเป็นจุดเด่นจนทำให้ บูลส์ เข้าไปถึงรอบตัดเชือกสายตะวันออกของ NBA ก่อนจะแพ้ ออร์แลนโด แมจิค ไป 2-4 เกมอย่างที่ทุกคนรู้กัน   

ฮาร์เปอร์ เองรู้สึกผิดหวังกับการเล่นของตัวเองบ้างในปีที่ทีมพลาดแชมป์ทันทีที่ จอร์แดน ไม่อยู่ อย่างไรก็ตาม เขาถูกตั้งใจให้เปลี่ยนแปลงการเล่นเต็มรูปแบบ จากการเป็นคนทำแต้ม ให้เป็นคนที่เน้นเกมรับมากกว่าที่เคย แผนของ แจ็คสัน ทำให้ ฮาร์เปอร์ ต้องมาเรียนรู้การเล่นแบบใหม่ในวัย 30 ปี มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับคนที่เล่นแบบเดิมมาทั้งชีวิต.. เขาอาจจะผิดหวังกับผลงาน แต่ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะเขาเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลแน่นอน กับสาเหตุที่ทำให้เขาเล่นมาจนปูนนี้ก็ยังไม่ได้เข้าใกล้คำว่าแชมป์สักครั้ง  

4

ความหมายอีกนัยคือ ฮาร์เปอร์ อยากจะลองเป็นคนเล่นเกมรับเต็มสูบดูบ้าง และเชื่อว่าการเรียนรู้ครั้งนี้จะช่วยเติมเต็มอาชีพนักบาสเกตบอล NBA ของเขาได้ด้วยถ้วยแชมป์.. 

"ผมอาจจะไม่ค่อยได้พูดให้ใครได้ฟังมากนัก แต่ที่จริงแล้วการมาที่ บูลส์ ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย ในปีที่ทีมล้มเหลวไปไม่ถึงแชมป์ กลับเป็นปีที่ผมเติบโตขึ้น ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง" ฮาร์เปอร์ ว่าถึงปีที่หลายคนโจมตีว่า เขาเป็นการเสริมตัวที่ไม่เข้าท่า 

"ผมรู้ดีว่าการเปลี่ยนสไตล์การเล่นและเปลี่ยนวิธีคิดเป็นเรื่องยาก ผู้เล่นหลายคนไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ แต่นั่นไม่ใช่กับผมหรอก ผมจะทำมัน เพราะผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เป็นแชมเปี้ยน" 

มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำแบบเดิมทุกวันและหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ไอน์สไตน์ เคยว่าไว้ และ รอน ฮาร์เปอร์ กำลังทำแบบคำกล่าวนั้นด้วยตนเอง

เมื่อ "ราชา" กลับมา

1995-96 คือหนึ่งในฤดูกาลที่ผู้คนเล่าขานกันว่าคือหนึ่งในซีซั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ ชิคาโก บูลส์.. สาเหตุสำคัญ คือ การกลับมาของราชาอย่าง จอร์แดน ที่หวนคืนวงการและกลับมาใส่มงกุฎอีกครั้ง.. และเมื่อเขากลับมา ทีมที่รออยู่ก็พร้อมแล้วสำหรับการตอบสนองความกระหายของ จอร์แดน  

จอร์แดน เล่นเกมรับได้ใครก็รู้ แต่จะดีกว่าไหมหากเขาได้เล่นเกมบุกแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ทำแต้มให้มากพอเอาให้สาแก่ใจ.. นี่คือสิ่งที่ทำให้เหมือนราวกับว่า ฟิล แจ็คสัน ยอมเสียเวลาสร้างทีม 1 ปีเพื่อรอให้ จอร์แดน กลับมาเล่นได้มีประสิทธิภาพที่สุด หากให้เปรียบเทียบ มันคือการถอยหลัง 1 ก้าวเพื่อก้าวกระโดดไปข้างหน้า 3 ก้าว 

1 ปีที่ ฮาร์เปอร์ ไปฝึกเล่นเกมรับและเรียนรู้แท็คติกของ แจ็คสัน มากพอที่จะทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่สุกงอม พร้อมเป็นกำลังสำคัญของทีมพอดิบพอดี การมี ฮาร์เปอร์ อยู่ในทีมคือส่วนประกอบที่ทำให้ บูลส์ ชุดนั้นไร้เทียมทาน

5

"รอน ฮาร์เปอร์ เข้ามาเป็นชิ้นส่วนสำคัญในทีมชุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาอาจจะเริ่มเล่นด้วยการนั่งเป็นตัวสำรองในปีแรก แต่ฤดูกาล 1995-96 เขาได้เรียนรู้แล้วว่าบทบาทของเขาในทีมคืออะไร.. นั่นคือการเข้ามาและทำให้ ชิคาโก บูลส์ กลายเป็นหนึ่งในทีมที่มีเกมรับที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA" เดวิด วีซอง ผู้เขียนบทความเกี่ยวกับ NBA ให้ความเห็นผ่านสื่อ Sportscasting 

บูลส์ ได้ 5 ผู้เล่นที่เปรียบเหมือนกับ 5 เซียนเจ้าสำนักในหนังจีน และถูกเรียกว่าทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA เมื่อมีใครก็ตามไล่ชื่อผู้เล่นทั้ง 5 ชุดนั้น ชื่อของ ไมเคิล จอร์แดน จะมาเป็นอันดับ 1, ตามมาด้วย สก็อตตี้ พิพเพ่น และอันดับ 3 คือ เดนนิส ร็อดแมน.. ขณะที่อีก 2 คนที่มักจะถูกพูดแบบห้อยท้ายคือ ลุค ลองลีย์ และแน่นอน รอน ฮาร์เปอร์ ก็เช่นกัน 

หากถามว่า บูลส์ ชุดปลายยุค 90s เก่งขนาดไหน ก็คงต้องบอกว่าเก่งถึงขนาดที่ว่าเมื่อมีคนเอาทีมชุดนี้มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส ทำในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาว่าทีมไหนเก่งกว่ากัน และถ้าเจอกันใครจะชนะ สก็อตตี้ พิพเพ่น ที่มักจะไม่ค่อยคุยโวโอ้อวดนักยังแสดงทัศนะส่วนตัวอย่างชัดเจนว่า "เราจะชนะ 4 เกมรวดแน่นอน" 

6

ขณะที่ ฮาร์เปอร์ ก็โดนถามถึงเรื่องนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อน ช่วงที่ โกลเดน สเตท ยุคทองที่นำโดย สเตปห์ เคอร์รี่ กำลังลุ้นทำสถิติแชมป์ 3 สมัยติดเหมือนกับที่ บูลส์ เคยทำเช่นกัน และเขาบอกว่า..

"ตอนที่พวกเราลงแข่ง เราไม่เคยคิดถึงสถิติ ผมขอให้ โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส โชคดี และไล่ล่ามันอย่างแข็งขันต่อไปก็แล้วกัน.. แล้วเราจะได้เห็นกันว่าที่สุดแล้ว พวกเขาจะคว้าดวงดาวมาได้ทั้งหมดกี่ดวง" 

ฮาร์เปอร์ ยังคงโดนถามทิ้งท้ายว่า เขาคิดว่าใครเป็นผู้เล่นที่ดีกว่ากันระหว่าง จอร์แดน กับ เคอร์รี่.. คำถามนั้นแหละที่ทำให้เขาอดขำไม่ได้ คำตอบของ ฮาร์เปอร์ สอดแทรกความประชดประชันและมันแสดงให้เห็นถึงความคิดที่แท้จริงของเขาว่า ไม่มีทีมไหนยิ่งใหญ่กว่า บูลส์ ชุดปี 1995 ถึง 1998 อีกแล้ว

"เคอร์รี่ กับ เอ็มเจ เหรอ?.. เอ็มเจ คงเก่งกว่ามั้ง น่าจะเก่งกว่าแค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ เยี่ยม.. ยิ่งใหญ่จริงๆสิพับผ่า" เขาติดตลกปิดท้าย 

7

แม้ปากของใครหลายคนหรือแม้กระทั่งตัว ฮาร์เปอร์ เองจะบอกว่า จอร์แดน คือคนแบกทีม ทว่าเรื่องจริงนั้น จอร์แดน ไม่มีทางเล่นคนเดียวได้ถ้าไม่มีเพื่อนร่วมทีม และเขาก็พูดคำนี้อยู่บ่อยๆ 

ความร้อนแรงในเกมรุกย่อมซ่อนอยู่ภายใต้ความแน่นอนของเกมรับ สปอตไลท์ที่ฉายใส่เหล่าสตาร์ย่อมมาจากการทำงานหนักไม่แพ้กันของเหล่ามดงาน.. นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่ รอน ฮาร์เปอร์ ทำจนกลายเป็นสมาชิกที่ขาดไม่ได้ในชุดแห่งตำนาน 

สำหรับคนนอก รอน ฮาร์เปอร์ อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่ากับสมาชิกของบูลส์คนอื่นๆ แต่ที่แน่ๆ เขาคนนี้ คือ ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริงเสียงจริง เขาคือฟันเฟืองที่ทำหน้าสำคัญส่งผลให้ บูลส์ คว้าแชมป์ NBA 3 สมัยรวดตั้งแต่ฤดูกาล 1995-96, 1996-97 และ 1997-98 ฤดูกาลที่ถูกขนานนาม และถูกนำไปสร้างเป็นสารคดีใน Netflix จนโด่งดังภายใต้ชื่อ "The Last Dance" นั่นเอง

ตำนานครั้งที่ 2 ที่แอลเอ

หลังจากปิดฉากยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ ชิคาโก บูลส์ ผู้เล่นหลายคนก็ทยอยแยกย้ายกันออกมา ตัวของ ฮาร์เปอร์ นั้นเล่นให้ บูลส์ อีก 1 ปีจนกระทั่งจบฤดูกาล 1998-99 

สำหรับ พิพเพ่น, ร็อดแมน หรือ จอร์แดน ภารกิจของพวกเขาอาจจะจบไปพร้อมๆกับการก้าวข้ามขีดสูงสุดของอาชีพไปแล้ว ทว่าสำหรับ ฮาร์เปอร์ นั้น การผจญภัยของเขายังไม่จบ หลังหมดสัญญากับ บูลส์ เขาได้ข้อเสนอจาก แอลเอ เลเกอร์ส ที่กำลังจะสร้างรัชสมัยแห่งความยิ่งใหญ่ เหมือนกับที่ บูลส์ เคยทำได้  

ในปีนั้น เลเกอร์ส มีผู้เล่นเกมรุกระดับเทพอยู่พร้อมกันถึง 2 คนนั่นคือ โคบี ไบรอันท์ และ ชาคีล โอนีล.. ในกรณีนี้ดีแน่ๆที่มีผู้เล่นเก่งๆอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อบาสเกตบอลนั้นเล่นเป็นทีม เลเกอร์ส จึงต้องการใครสักคนเข้ามาอุดพื้นที่เกมรับ และนั่นคือเหตุผลที่หวยมาออกที่ รอน ฮาร์เปอร์ ผู้ปิดทองหลังพระของทีมระดับตำนานนั่นเอง

8

คุณอาจจะเห็นได้ว่าโมเดลการสร้างทีมของ เลเกอร์ส นั้นออกจะคลับคล้ายคลับคลากับ บูลส์ อยู่บ้าง แต่ถ้ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆก็จงอย่าแปลกใจ เพราะคนที่นำ รอน ฮาร์เปอร์ มาเติมเต็มทีม เลเกอร์ส ชุดนี้คือ ฟิล แจ็คสัน นายเก่าของเขาสมัยคว้าแชมป์ 3 ปีรวดกับ บูลส์ นั่นเอง  

"ตอนที่ ฟิล เซ็นสัญญากับ รอน ฮาร์เปอร์ ผมนี่ร้องจ๊ากเลย" จอห์น เซเลสแตนด์ ผู้เล่นหมายเลข 11 ของ เลเกอร์ส ที่เล่นในตำแหน่งเดียวกับ ฮาร์เปอร์ เล่าย้อนความไปในวันนั้นเมื่อปี 1999 

"ผมคิดนะ 'งานเข้าแล้วกู' ผมมั่นใจเลยว่าผมจะไม่ได้เล่นมากนักเมื่อ ฮาร์เปอร์ มาถึง.. ผู้เล่นที่มีแหวนแชมป์ถึง 3 วง มาพร้อมกับสไตล์ที่ ฟิล แจ็คสัน คุ้นเคย แถมยังสนิทกันซะด้วย แบบนี้ผมจะเหลืออะไร?" เซเลสแตนด์ พูดในพอดแคสต์ของเขาเอง

9

"15-16 เกมแรกผมก็ได้ลงอยู่บ้างแหละ แต่พอ รอน เริ่มฟิตแล้วเขาก็กลายเป็นผู้เล่นที่เชื่อมทีมของเราได้แบบแนบเนียนไร้รอยต่อ.. โอเค คุณอาจจะบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรที่ยอดเยี่ยมและน่าตื่นตาตื่นใจใช่มั้ย? ผมจะบอกอะไรให้.."

"หมอนี่เป็นเสือเฒ่ามากประสบการณ์ เขาไม่ได้เป็นจอมทำแต้ม ไม่ได้เคลื่อนไหวรวดเร็วอะไรเลย แต่เขาคือความเงียบสงบในทีมของเรา เขารู้วิธีเล่นแบบสามเหลี่ยม และที่ประหลาดคือเขามักรู้จะว่าบอลจะไปทางไหนเหมือนกับเขาเป็น รอน จิตสัมผัส"

"ย้ำอีกครั้ง เขามาที่นี่พร้อมกับความสงบและเล่นง่ายๆ แต่สบายมากๆ เขาไม่มีความกดดันเลย เพราะเวลาทีมแพ้ผู้คนก็จะไปกดดัน โคบี กับ แชค โน่นแหละ ส่วนใครจะมาต่อว่าการเล่นของ รอน ฮาร์เปอร์ น่ะเหรอ? เจอเขาชูนิ้วขึ้นมาพร้อมแหวนสามวงคุณก็หุบปากแทบไม่ทันแล้ว.. ไม่มีใครเก๋าได้อย่างเขาหรอก"

10

ทุกอย่างที่ เซเลสแตนด์ อธิบายมันชัดเจนจนแทบไม่ต้องพูดอะไรให้เมื่อยปาก หรือพิมพ์อะไรให้เมื่อยมือ เพื่อบอกถึงการเข้ามาของ ฮาร์เปอร์ อีกแล้ว

เอาเป็นว่าเมื่อ ฮาร์เปอร์ มาถึง ภารกิจปัดกวาดเพื่อให้ โคบี ฉายแสงก็เริ่มขึ้น.. การถือบอลนานๆของ โคบี อาจจะโดนมองว่าเป็นปัญหา แต่เมื่อ ฮาร์เปอร์ เข้ามา ปัญหาเหล่านั้นก็หมดไป 

"ตอนนี้ผมกำลังเล่นเคียงข้าง โคบี ไบรอันท์ ผมบอกตรงๆว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาทำให้ผมอดคิดถึง เอ็มเจ ไม่ได้" รอน ฮาร์เปอร์ เคยพูดถึง โคบี ไบรอันท์ เอาไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นตำนาน 

เล่นเกมบุกไปให้สาแก่ใจ ทางนี้พี่จัดการเอง.. นี่คือประโยคที่เหมาะสมกับความสัมพันธ์ในสนามระหว่าง ฮาร์เปอร์ และ โคบี ที่สุด.. ฮาร์เบอร์ ในวัย 30 กว่าๆ สนุกสนานกับการได้เล่นเกมรับและอยู่เบื้องหลังฉากการสร้างตำนานบทใหม่ของ NBA โดยผู้เล่นดาวรุ่งที่ชื่อว่า โคบี ไบรอันท์.. เขาอยู่ตรงนั้น เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงให้ โคบี กลายเป็นสุดยอดนักบาส NBA หลังเข้าสู่ยุค 2000s อย่างแท้จริง

11

แอลเอ เลเกอร์ส กลายเป็นโคตรทีมต่อจากที่ บูลส์ เคยทำได้จริงๆ พวกเขาคว้าแชมป์ NBA ได้ 2 สมัยติดต่อกันในปี 2000 และ 2001 นั่นทำให้ รอน ฮาร์เปอร์ นักบาสชื่อไม่คุ้นหูคนวงนอกคนนี้มีแหวนที่นิ้วของเขาครบ 5 วง.. และหากเขาไม่เลิกเล่นไปเสียก่อน ก็น่าจะได้แหวนแชมป์เท่ากับ เอ็มเจ ไปแล้ว เพราะในปี 2002 เลเกอร์ส คว้าแชมป์ NBA 3 ปีติดเหมือนที่ บูลส์ เคยทำได้

"รู้ไหมผมคิดอะไร? ผมว่าเราคงไม่ได้แชมป์มากขนาดนี้หรอก หาก รอน ฮาร์เปอร์ ไม่ได้อยู่ที่นั่น" เป็นอีกครั้งที่ เซเลสแตนด์ พูดถึงเพื่อนร่วมทีมของเขาได้แบบครบและจบทุกประเด็น 

จะมีสักกี่คนที่ได้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำของ NBA ทั้ง 2 หน้าเหมือนกับ ฮาร์เปอร์.. จากจอมทำแต้มที่ยอมลดบทบาทตัวเองมาเพื่อทำให้ทีมสมดุล กลายเป็นผู้เล่นที่เคยเล่นเคียงข้างกับทั้ง ไมเคิล จอร์แดน และ โคบี ไบรอันท์ เหนือสิ่งอื่นใด คือ การได้อยู่ในทีมชุดที่ดีที่สุดชุดหนึ่งตลอดกาลของ NBA ทั้ง ชิคาโก บูลส์ และ แอลเอ เลเกอร์ส

12

จอร์แดน มีตำนานที่ ชิคาโก

โคบี สร้างตำนานไว้ที่ ลอสแอนเจลิส

ส่วน รอน ฮาร์เปอร์.. มีตำนานอยู่ทั้งสองที่นั่นแหละ.. เมื่อ จอร์แดน และ โคบี โบยบินขึ้นไปยัดห่วง รอน ฮาร์เปอร์ เป็นเหมือนกับลมใต้ปีก.. มีทีมไหนบ้างที่ไม่ต้องการผู้เล่นแบบนี้? 

....

...

..

.

อ่านมาจนถึงตอนนี้ เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะรู้ว่า สำหรับ รอน ฮาร์เปอร์ ที่เล่นคู่กับตำนานทั้ง 2 บทอย่าง จอร์แดน และ โคบี คิดว่าใครเก่งกว่ากัน?.. เราจะไม่ทำให้คุณค้างคา เขาเพิ่งเฉลยคำตอบนี้ด้วยตัวเองเมื่อไม่กี่เดือนก่อน 

13

"ทุกคนมักจะถามผมว่า ระหว่าง เอ็มเจ กับ โคบี ใครเก่งกว่ากัน? เพราะผมได้เล่นร่วมกับพวกเขาในวันที่พวกเขาอยู่ในจุดพีคทั้งคู่.. เอางี้ ผมจะเล่าให้ฟัง" 

"โคบี โคตรเก่ง เยี่ยมยอดจนไม่รู้จะพูดยังไง เก่งมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเล่นด้วย แต่ จอร์แดน ไม่ใช่คนแล้ว เขาหลุดออกไปนอกจักรวาลเรียบร้อย"

"เอางี้ ผมจะถามคุณกลับบ้าง?.. ทีมของคุณตามหลัง และเหลือเวลาวินาทีสุดท้าย คุณต้องการแต้มเพื่อเป็นผู้ชนะ คุณอยากจะให้ โคบี หรือ จอร์แดน เป็นคนถือบอล?" 

"ผมขอตอบว่าคนที่ใส่เสื้อเบอร์ 23 แล้วกัน.. เอ็มเจ ต้องมาก่อน แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ ผมเคารพความสามารถของ โคบี ตลอดมา และผมก็รู้ด้วยว่าตอนนี้เขากำลังสนุกสนานอยู่บนสถานที่ที่สงบสุขข้างบนแล้ว" รอน ฮาร์เปอร์ ตอบคำถามที่ทุกคนสงสัยด้วยตัวเองในวันที่ โคบี ไบรอันท์ จากไป... 

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ "รอน ฮาร์เปอร์" : การ์ดเบอร์รองที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ "จอร์แดน-โคบี"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook