สู่ภาพยนตร์ OPEN WATER : ปริศนาทริปดำน้ำที่ทำให้สองคู่รักไม่ได้กลับสู่ชายฝั่งตลอดกาล

สู่ภาพยนตร์ OPEN WATER : ปริศนาทริปดำน้ำที่ทำให้สองคู่รักไม่ได้กลับสู่ชายฝั่งตลอดกาล

สู่ภาพยนตร์ OPEN WATER : ปริศนาทริปดำน้ำที่ทำให้สองคู่รักไม่ได้กลับสู่ชายฝั่งตลอดกาล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คุณจะรู้สึกตกใจสักแค่ไหนถ้าวันหนึ่งคุณเดินเล่นบนชายหาดแล้วพบกับกระดานที่เขียนข้อความว่า “ช่วยด้วย! พวกเราลอยคออยู่กลางทะเลและพวกเรากำลังจะตาย!”

นี่อาจฟังดูขนหัวลุก แต่เชื่อหรือไม่ว่านี่คือเรื่องจริงเมื่อ 24 ปีที่แล้วของสองสามีภรรยาชาวอเมริกันนามว่า โธมัส กับ แอลลีน โลเนอร์แกน ที่จู่ ๆ ทั้งสองก็หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างการดำน้ำ ณ ทะเลคอรัล ประเทศออสเตรเลีย และไม่ว่าจะทำการค้นหาสักแค่ไหนก็ไม่เจอแม้แต่วี่แววของพวกเขา

ระหว่างทริปเกิดอะไรขึ้น ? ทั้งสองหายไปได้อย่างไร ? ปริศนาถูกคลี่คลายได้หรือไม่ ? Main Stand จะพาไปพบกับเรื่องราวอันโหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ

คนโชคดี

10 กรกฏาคม 2022 อีวาน นักท่องเที่ยวชาวนอร์ทมาซิโดเนีย เดินทางไปพักผ่อนที่ชายหาดมิตี เมืองคาสซันดรา ประเทศกรีซ ทว่าเขาถูกกระแสน้ำพัดหายไปพร้อมกับชายผู้เคราะห์ร้ายอีก 2 คน แต่โชคดีที่เพื่อน ๆ ของอีวานได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่บนชายฝั่งออกตามหา ณ เดี๋ยวนั้น

นี่อาจเป็นบททดสอบของพระเจ้าที่ส่งมาให้อีวานได้เจอกับเคราะห์ร้ายที่ต้องลอยคอกลางทะเลให้เขาสิ้นหวังเล่น ๆ แต่จุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อเขาพบกับลูกบอลชายหาดเล็ก ๆ ลอยมา ซึ่งอีวานก็เลือกเกาะมันไว้โดยไม่ลังเล แต่ใครจะไปเชื่อว่าการเกาะลูกบอลอย่างมีความหวังเล็ก ๆ ของอีวานจะทำให้เขารอดตาย เมื่อกองทัพอากาศของกรีซใช้เฮลิคอปเตอร์บินออกตามหาพบเขาลอยอยู่ห่างจากชายฝั่งเกือบ 80 ไมล์ ปิดฉากการลอยทะเลนาน 18 ชั่วโมง


Photo : facebook.com/anastasiahalkia.d

ส่วนลูกบอลที่ว่านั้น ทราบในภายหลังว่าเป็นของเด็กที่ทำหายขณะไปเล่นที่เกาะเลมนอส ก่อนเกิดเหตุ 10 วัน ซึ่งเท่ากับว่าลูกบอลนี้ไม่ต่างจากของขวัญที่พระเจ้าส่งมาช่วยให้อีวานรอดตายราวปาฏิหาริย์ แต่ทว่าชายผู้เคราะห์ร้ายอีก 2 คนที่หายไปพร้อมกับอีวานยังคงไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งทางกองทัพอากาศและกองทัพเรือของกรีซต้องตามหากันต่อไป

 

อย่างไรก็ตามอุบัติเหตุคนลอยคอหรือติดอยู่กลางทะเลเป็นเรื่องที่พอจะพบเห็นได้ค่อนข้างบ่อย ซึ่งก็ปะปนไปด้วยคนที่โชคดีและคนที่โชคไม่เข้าข้าง ดังเช่นเรื่องราวของสองสามีภรรยาชาวอเมริกันนามว่า โธมัส กับ แอลลีน โลเนอร์แกน ที่เกิดขึ้นในปี 1998 จนกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วออสเตรเลีย ถึงปริศนาที่ยังคงค้างคาใจจนถึงทุกวันนี้

ได้เวลาแล้ว

เมื่อทำงานมาอย่างหนักมันก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องให้รางวัลกับตัวเอง โธมัส วัย 33 ปี กับ แอลลีน โลเนอร์แกน วัย 28 ปี สองคู่รักจากเมืองแบตันรูช รัฐลุยเซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พบรักกันครั้งแรกสมัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐลุยเซียนา ก่อนจะเข้าพิธีวิวาห์ในวันที่ 24 มิถุนายน 1988 ที่เมืองเจฟเฟอร์สัน รัฐเท็กซัส ต่อมาโธมัสได้ทำงานเป็นวิศวกรเคมี ส่วนแอลลีนทำงานด้านการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งทางแอลลีนมีงานอดิเรกอันโปรดปรานคือการดำน้ำลึกโดยเธอมักชวนโธมัสสามีเข้าคอร์สดำน้ำชมปะการังอยู่เป็นประจำ

อย่างไรก็ตามทั้งคู่ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่ประเทศฟิจิ ในปี 1995 พร้อมกับทำงานเป็นอาสาสมัครหน่วยสันติภาพสหรัฐอเมริกา ที่ประเทศฟิจิและประเทศตูวาลู สองประเทศเกาะปะการังอันสวยงามแห่งแปซิฟิกใต้ ซึ่งนอกจากจะได้ทำงานแล้วทั้งสองยังได้ชื่นชมความงามของท้องทะเลที่ใฝ่หามาตลอดอีกด้วย แต่แล้วหลังจากทำงานมาต่อเนื่อง 3 ปีมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาขอลาพักร้อน โดยทั้งสองเลือกไปดำน้ำชมปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลกในประเทศออสเตรเลีย


Photo : couriermail

 

ทั้งคู่เข้าพักที่เมืองแคนส์ รัฐควีนส์แลนด์ โดยมีกำหนดเดินทางไปยังเมืองพอร์ตดักลาส ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อเตรียมตัวกับทริปดำน้ำแรกของปี 1998 และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง 25 มกราคม 1998 โธมัส และ แอลลีน โลเนอร์แกน ออกจากเมืองพอร์ตดักลาสด้วยเรือ MV Outer Edge ของบริษัททัวร์ดำน้ำ Outer Edge โดยมี เจฟฟรีย์ แนร์น เป็นกัปตันเรือ พร้อมเดินกับคณะทัวร์ชาวอิตาลีอีก 24 คน รวมผู้โดยสารทั้งหมด 26 คน ออกไปดำน้ำตามแนวปะการังเซนต์คริสปิน ซึ่งเป็นจุดดำน้ำยอดนิยมของแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้เลยว่าทริปนี้กำลังจะมีบางสิ่งผิดพลาดอย่างมหันต์

สู่ความเวิ้งว้าง

กัปตันแนร์นพาลูกเรือและคณะทัวร์ออกเดินทางไปยังแนวปะการังเซนต์คริสปิน ห่างออกไปจากชายฝั่ง 60 กิโลเมตรในทะเลคอรัล ซึ่งทริปนี้ทำการแบ่งจุดดำน้ำออกเป็น 3 จุดตามแนวปะการังโดยจะให้ลูกทัวร์ดำน้ำแต่ละจุดราว ๆ 40-60 นาที จนกระทั่งเวลา 14.30 น. การเดินทางมาถึงจุดดำน้ำสุดท้าย และก็เป็นเหมือน 2 จุดก่อนหน้าที่สองสามีภรรยาโลเนอแกนแจ้งกับ แคทเธอรีน ทราเวอโซ่ ลูกเรือทริปดังกล่าวว่าจะขอออกไปดำน้ำแยกกับกรุ๊ปทัวร์อิตาลี

ทริปดังกล่าวจบลงด้วยดี นักท่องเที่ยวทั้งหมดกลับขึ้นเรือที่ทางกัปตันแนร์นและลูกเรือทราเวอโซ่ได้ทำการนับลูกทัวร์ทั้งหมด 26 คน ก่อนแล่นเรือกลับเข้าฝั่งที่เมืองพอร์ตดักลาส ในเวลาประมาณ 16.00 น. เป็นอันจบทริปของวัน


Photo : couriermail

 

วันต่อมา 26 มกราคม 1998 เรือ MV Outer Edge พาคณะทัวร์กลุ่มใหม่ออกเดินทางไปดำน้ำยังจุดเดิมอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาก็ได้พบกับเข็มขัดทุ่นดำน้ำกระจายอยู่บริเวณนั้นหลายอัน อย่างไรก็ตามพวกเขาเก็บมันมาโดยคิดว่าน่าจะเป็นของนักท่องเที่ยวสักคนที่ทิ้งไว้กลางทะเล

27 มกราคม 1998 ขณะที่กัปตันแนร์นขึ้นไปทำความสะอาดเรือเขาก็พบกับกระเป๋า 2 ใบของคู่สามีภรรยาโลเนอร์แกนที่เต็มไปด้วยสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงหนังสือเดินทางและของใช้ส่วนตัวอื่น ๆ แนร์นไม่รอช้ารีบติดต่อโรงแรม Gone Walkabout ที่ทั้งคู่พักในเมืองแคนส์ ก่อนจะพบเรื่องน่าตกใจว่าทั้งสองคนนี้ไม่กลับโรงแรมมา 2 วันแล้ว โดยพบครั้งสุดท้ายก็คือตอนที่ออกจากโรงแรมเมื่อวันที่ 25 จนนำไปสู่การโทรแจ้งตำรวจ 

รายงานระบุว่า ถ้านับเวลาจากการพบเห็นคู่รักโลเนอแกนครั้งสุดท้ายจนถึงเริ่มการค้นหา เท่ากับว่าสองผู้เคราะห์ร้ายต้องลอยคอกลางทะเลเป็นอย่างน้อย 51 ชั่วโมง เท่ากับว่ารอบตัวพวกเขาเห็นแต่ท้องฟ้าสีครามกับน้ำทะเลสีฟ้าใสไปจนถึงเส้นขอบฟ้าโดยไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีเรือข้างหน้าไม่มีเรือข้างหลัง มีเพียงนักดำน้ำสองคนที่รู้ว่าเรือได้ทิ้งพวกเขาไปแล้ว 

ในวันเดียวกันนั้น (27 ม.ค. 98) การค้นหาทั้งทางบกและทางอากาศได้เริ่มขึ้นโดยทุกคนตั้งแต่กองทัพเรือจนถึงพลเรือนมีส่วนร่วมทั้งหมด ซึ่งกินเวลาทั้งหมด 5 วันก็ยังไม่พบร่องรอยของทั้งคู่ ทำให้การค้นหาต้องยุติลงในวันที่ 1 ก.พ. 98

ในที่สุด วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1998 เสื้อควบคุมการลอยตัวของโธมัส หรือ BCD (เสื้อกั๊กชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ผู้สวมใส่ควบคุมการลอยตัวได้) ถูกค้นพบว่าถูกซัดขึ้นฝั่งใกล้กับหาดอินเดียนเฮด ห่างจากเมืองพอร์ตดักลาสไปทางเหนือราว 100 กิโลเมตร ก่อนที่ชุดดำน้ำและตีนกบของแอลลีนจะถูกค้นพบเช่นเดียวกันในเวลาต่อมา ซึ่งเสื้อดำน้ำของโธมัสนั้นอยู่ในสภาพดีเยี่ยมส่วนของแอลลีนพบว่ามีรอยฉีกขาดเล็กน้อย

 


Photo : couriermail

หกเดือนผ่านไปยังคงไร้ร่องรอยของทั้งคู่ จนกระทั่งราว ๆ เดือนมิถุนายนในปีเดียวกัน อุปกรณ์ดำน้ำของทั้งคู่ก็ถูกพัดขึ้นไปเกยหาดพอร์ตดักลาส ห่างจากจุดที่พวกเขาสูญหายไปประมาณ 75 ไมล์ (121 กม.) พร้อมกับกระดานชนวนของนักประดาน้ำ (อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการสื่อสารใต้น้ำ) ซึ่งถูกเขียนไว้เป็นข้อความว่า

"วันจันทร์ที่ 26 มกราคม เวลา 08.00 น. สำหรับใครก็ตามที่สามารถช่วยเราได้ เราถูกทอดทิ้งบนแนวปะการัง Agincourt โดยเรือ MV Outer Edge เมื่อวันที่ 25 มกราคม 1998 เวลา 15.00 น. ช่วยพวกเราก่อนตายด้วย!!! ได้โปรด"

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

หลังการหายตัวอย่างปริศนาโดยไม่พบร่างของสองสามีภรรยาโลเนอแกน ทฤษฎีต่าง ๆ ก็ถูกตั้งขึ้นมากมาย และการฆ่าตัวตายก็หนึ่งในนั้น หลังการเข้าตรวจค้นที่พักของทั้งคู่ก็พบกับไดอารี่ของโธมัสที่บันทึกสุดท้ายมีใจความว่า

 

“เหมือนนักเรียนที่สอบเสร็จ ผมรู้สึกว่าชีวิตผมสมบูรณ์และพร้อมที่จะตาย เท่าที่ผมสามารถบอกได้จากที่นี่ ชีวิตของผมมีแต่จะแย่ลง มันถึงจุดสุดยอดแล้ว และทุกอย่างกำลังตกต่ำลงจาก ณ จุดนี้จนถึงงานศพของผม”


Photo : cairnspost

เช่นเดียวกัน ไดอารี่ของแอลลีนก็มีเนื้อหาช่วงท้ายไม่ต่างกัน 

“ทอม (สามี) ฉันหวังว่าจะตายอย่างรวดเร็วและไม่เจ็บปวดและเขาหวังว่ามันจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ทอมไม่ได้จะฆ่าตัวตายแต่เขามีความปรารถนา ในการจะไปสู่สิ่งนั้นฉันสามารถร่วมไปกับเขาได้”

นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาไปต่าง ๆ หลายข้อเช่น พวกเขาอาจถูกฉลามเสือที่ชุกชุมบริเวณนั้นทำร้ายจนเสียชีวิต, พวกเขาถูกฆาตกรรมโดยกัปตันและลูกเรือของเรือลำนั้น หรือแม้กระทั่งลือกันว่าพวกเขาแกล้งสร้างเรื่องว่าตัวเองตายเพื่อหนีไปใช้ชีวิตใหม่ด้วยตัวตนใหม่ แต่ทว่าทฤษฎีนี้ก็ถูกปัดตกไปโดยง่ายเพราะทรัพย์สินและเงินทองของพวกเขาไม่หายไปแม้แต่บาทเดียวหลังการหายตัวไป ซึ่งนี่ยังไม่รวมกับพวกที่หวังเกาะกระแส รวมถึงญาติที่เข้ามาให้การเท็จว่าเคยเจอพวกเขาเดินเล่นอยู่ที่เมืองดาร์วิน ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งห่างจากเมืองพอร์ตดักลาส สถานที่สุดท้ายที่พบพวกเขาถึง 3,000 กิโลเมตร


Photo : cairnspost

ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติผู้สาบสูญที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้เห็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต การสอบสวนได้เริ่มขึ้นในวันที่ 10 ตุลาคม 1998 ซึ่งกัปตันเรือเที่ยวนั้น เจฟฟรีย์ แนร์น ต้องขึ้นศาลในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม การพิจารณาคดีของแนร์นเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 1999 โดยทนายฝั่งกัปตันได้ผลักดันทฤษฎีการฆ่าตัวตายของสองสามีภรรยา จนในที่สุดคณะลูกขุนพบว่าแนร์นไม่มีความผิด แต่เขาถูกบังคับให้จ่ายค่าปรับจำนวน 28,000 เหรียญสหรัฐ (1.02 ล้านบาท) สำหรับความประมาทเลินเล่อจนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ตามด้วยบริษัททัวร์ดำน้ำ Outer Edge ต้องถูกสั่งให้ปิดตัวลงในอีกไม่กี่เดือนต่อมาในปี 1999

(ไม่) สูญเปล่า…

ในช่วงการไต่สวนในปี 1998 ช่วงเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ โนเอล นูนัน วิเคราะห์ว่าทั้งคู่เสียชีวิตจากการจมน้ำหรือถูกฉลามโจมตี นอกจากนี้นูนันยังได้ผลักดันให้กัปตันแนร์นขึ้นศาลในฐานคดีฆาตกรรม จากความประมาทเลินเล่อที่นับลูกเรือผิดพลาด อย่างไรก็ตามการที่ลูกเรือครั้งนั้นจำนวน 26 คนเป็นคณะทัวร์ชาวอิตาลี 24 คน ก็มีส่วนให้กัปตันแนร์นชะล่าใจคิดว่าทั้งเรือเป็นทัวร์อิตาลีทั้งหมด ทั้งที่ยังมีสองคู่รักชาวอเมริกันรวมอยู่ด้วยอีก 2 คน 

สุดท้ายแล้วในปี 2015 กัปตันแนร์นก็ได้เสียชีวิตลง ทำให้ไม่เหลือพยานปากเอกในคดีนี้อีกต่อไป ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นปริศนาค้างคาใจไปตลอดกาล รวมถึงญาติและบุคคลใกล้ชิดของ โธมัส กับ แอลลีน โลเนอร์แกน ที่ต้องสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยความค้างคาใจ


Photo : imdb

ทั้งนี้การหายสาบสูญของ โธมัส กับ แอลลีน โลเนอร์แกน ก็ได้ออกมาสู่สายตาชาวโลกในฐานะภาพยนตร์เรื่อง Open Water ที่ออกฉายในปี 2003 หรือ 5 ปีหลังเกิดเหตุ ซึ่งจำลองมาจากเหตุการณ์จริงที่ โธมัส กับ แอลลีน ต้องลอยคอกลางมหาสมุทรกว่า 4 วัน 3 คืน ซึ่งทางผู้กำกับได้เลือกหนึ่งในทฤษฎีจุดจบของทั้งคู่มาเป็นฉากจบอันแสนหดหู่ของเรื่องราวนี้ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคว้ารางวัลหนังระทึกขวัญยอดเยี่ยมจากงาน Golden Trailer Awards ปี 2003 มาครองอีกด้วย

จากเรื่องราวสุดสะเทือนใจดังกล่าวนอกจากจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว ทางรัฐบาลรัฐควีนส์แลนด์แห่งออสเตรเลีย ยังได้ออกกฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดให้กับอุตสาหกรรมการดำน้ำของรัฐในปี 1999 ซึ่งเรียกร้องมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยให้กับบริษัท เช่นการบังคับให้นับลูกเรือทั้งบนเรือและระหว่างการดำน้ำ รวมถึงการยืนยันจำนวนพนักงานและมาตรการระบุตัวตนใหม่


Photo : imdb

และในวาระครบรอบ 20 ปีของเหตุการณ์เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เคธี่ ฮานส์ แม่ของแอลลีน บอกกับหนังสือพิมพ์ Courier Mail ว่าเธอไม่มีความคิดร้ายต่อประเทศออสเตรเลีย และไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากเห็นใจกัปตันแนร์นที่เสียชีวิตในปี 2015 และเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่ไม่ดำเนินคดีข้อหาฆาตกรรมกับเขา

ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยความยินยอมจากทุกฝ่ายโดยที่ไม่มีใครรับรู้เลยว่าช่วงเวลาสุดท้ายที่ โธมัส กับ แอลลีน ต้องเผชิญนั้นเป็นอย่างไรและน่าหดหู่แค่ไหน กับการต้องลอยคอเวิ้งว้างกลางมหาสมุทรมากกว่า 3 วัน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ยากจะจินตนาการ ถ้าวันหนึ่งคุณได้ลอยคอกลางมหาสมุทรโดยที่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากน้ำทะเลสีครามและท้องฟ้าอันสดใสกับแสงแดดที่พร้อมจะแผดเผาคุณได้ทุกเมื่อ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook