3 ทศวรรษ "เฟอร์กี้" กับ "ปีศาจแดง"

3 ทศวรรษ "เฟอร์กี้" กับ "ปีศาจแดง"

3 ทศวรรษ "เฟอร์กี้" กับ "ปีศาจแดง"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

6 พฤศจิกายน 1986 หรือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มีบุรุษผู้หนึ่ง อำลาบ้านเกิดที่กลาสโกว์ สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามาตามหาความท้าทายใหม่ๆ ที่เมืองแมนเชสเตอร์

“อเล็กซานเดอร์ แชปแมน เฟอร์กูสัน” ในวันที่ยังไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร

ชายผู้นี้ ได้ปฏิเสธข้อเสนอจาก บาร์เซโลน่า, อาร์เซนอล, เรนเจอร์ส และ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส เพื่อเข้ามาในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจากรอน แอตกินสัน ที่ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง

ในตอนที่เฟอร์กูสันเข้ามาคุมทีม เขาได้รับมรดกที่ย่ำแย่ของแอตกินสัน เนื่องจากขณะนั้น ทีมอยู่ในอันดับที่ 4 จากท้ายตารางดิวิชั่น 1 หน้าที่แรกของเขา จึงต้องเป็นการพาทีมหนีการตกชั้นให้ได้

อีก 2 วันต่อมา นัดแรกในฐานะผู้จัดการทีมยูไนเต็ด แพ้ให้กับ อ็อกซฟอร์ด ยูไนเต็ด 0-2 และแม้ว่าจะไม่ได้เสริมทีมใดๆ เลย แต่เขาก็ยังพาทีม จบอันดับที่ 11 ในฤดูกาลแรกที่คุมทีม

การเข้ามาคุมทีม "ปีศาจแดง" ของเขาเริ่มต้นได้ไม่ดีนัก เขาตั้งใจที่จะลาออกจากการคุมทีม ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เช่นกัน เมื่อเขาทำได้ไม่เหมือนกับที่เคยนำทีมจาก สกอตแลนด์ ประสบความสำเร็จมาแล้ว


โดยในฤดูกาล 1987-88 เขาพาทีมได้อันดับ 2 ในลีก รองจาก ลิเวอร์พูล และต่างได้รับเสียงโห่ร้องจากแฟนบอลทั่วสนามว่า "Fergie out" ให้เขาลาออกจากทีม

แต่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของทีม จะมีใครรู้บ้างว่าเขากำลังสร้างทีมขึ้นมาใหม่และได้ปรับปรุงระบบทีมเยาวชนใหม่ ซึ่งเขาคิดว่ามันจะส่งผลดีต่อเขาในระยะยาว

เขาเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์เรื่องการดื่มการเที่ยวของผู้เล่นในสโมสรอย่างเคร่งครัด และได้ปล่อยตัวนักเตะผู้เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลออกไปจากทีม เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการดื่มหลายต่อหลายคนโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของแฟนบอลเลยแม้แต่น้อย

การสูญเสียนักเตะสำคัญเหล่านี้ ส่งผลเสียต่อทีมมาก ในเดือนมกราคม ปี 1990 การพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อทีมร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-5 ทำให้เขามีงานหนักที่ต้องรับมือ ในศึก เอฟเอ คัพ รอบที่ 3 เมื่อต้องพบกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์

หากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ในนัดนี้ นั่นก็หมายถึง จุดจบของเขา ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้ว่า มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ ประธานสโมสรจะพยายามปฏิเสธ และชี้แจงว่าเขาให้การสนับสนุนผู้จัดการทีมผู้นี้อยู่เสมอมาก็ตาม แต่ดูเหมือนความหวังจะเลือนลางไปทุกที

และ “จุดเปลี่ยน” ในยุคของเขาก็มาถึง ในวันที่ 17 พฤษภาคม 1990 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์รายการแรกในยุคของเฟอร์กูสันมาครองได้สำเร็จ ลี มาร์ติน ยิงประตูโทนใน เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ นัดรีเพลย์ เอาชนะคริสตัล พาเลซ คว้าแชมป์ไปครอง แต่ในลีก จบฤดูกาลแค่อันดับ 13

ฤดูกาลต่อมา ทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ไปครองได้อีกที่ร็อตเตอร์ดัม เป็นการเอาชนะบาร์เซโลน่า 2-1 มาร์ค ฮิวจ์ส ทำคนเดียว 2 ประตู

จากนั้นในฤดูกาล 1991/92 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์ลีก คัพ มาประดับบารมีเพิ่มอีก แต่ผลงานในลีกสูงสุด สู้ความเก๋าของลีดส์ ยูไนเต็ดไม่ไหว ได้แค่รองแชมป์

และในฤดูกาล 1992-93 การรอคอยอันยาวนาน 26 ปี ก็สิ้นสุดลง ทีมปีศาจแดงสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงใด ในชื่อใหม่ “พรีเมียร์ลีก” มาครองได้สำเร็จ โดยได้รับอิทธิพลจากการย้ายเข้ามาด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ของ เอริค คันโตน่า เบียดแอสตัน วิลล่า คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ


แต่ผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เกิดขึ้นในฤดูกาล 1998-99 เทรบเบิลแชมป์ทีมแรกของอังกฤษ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

นั่นทำให้เฟอร์กูสัน ได้รับการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นท่าน “เซอร์”อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพื่อตอบแทนผลงานที่สามารถสร้างชื่อเสียง และเกียรติประวัติให้แก่ประเทศอังกฤษได้เป็นผลสำเร็จ

หลังจากความสำเร็จในฤดูกาล 1998-99 บางคนก็เริ่มแนะนำว่า ให้เขาก้าวลงจากตำแหน่ง เพราะเชื่อว่าความท้าทายได้หมดลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย

ในทศวรรษถัดมา ยุคมิลเลนเนียม (2000-2010) ปีศาจแดง ของเซอร์อเล็กซ์ ฟาดแชมป์พรีเมียร์ลีก ถึง 6 สมัย รวมถึงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 2 ของเฟอร์กี้ ด้วยการเอาชนะจุดโทษ เชลซี แบบสุดดราม่า 6-5 และยังมีแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2004 และลีก คัพอีก 3 หน

ในฤดูกาล 2008-09 วันที่ 16 พฤษภาคม 2009 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ หลังจากที่เจ้าตัว ก้าวเข้ามาคุมทีมในปี 1986 เขาตั้งใจจะทาบสถิติแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัยของลิเวอร์พูล และก็มาทำได้สำเร็จ


แล้วมันก็ยิ่งสุดยอดไปกว่านั้นในอีก 2 ปีถัดมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำฤดูกาลประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ลีกสูงสุด สมัยที่ 19 แซงหน้าสถิติของคู่อริตลอดชาติได้สำเร็จ แล้วตอกย้ำด้วย สมัยที่ 20 ในอีก 2 ปีถัดมา ก่อนที่ เซอร์อเล็กซ์ จะอำลาทีม

ปัจจุบันนี้ เซอร์ อเล็กซ์ ยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรอยู่ เขาได้รับตำแหน่งเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหาร และก็ยังเป็นฑูตของสโมสรอีกด้วย

3 ปีครึ่ง หลังเซอร์อเล็กซ์จากไป ก็ต้องบอกว่า แฟนปีศาจแดงทั่วโลก เชียร์ทีมรักกันแบบหงอยเหงาเศร้าสร้อย เพราะผลงานที่น่าผิดหวังอย่างมากในช่วงหลัง

การอำลาทีมของยอดกุนซือชาวสกอตต์ ต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบด้านจิตใจของนักเตะ และแฟนบอลไปมากพอสมควร

เพราะฉะนั้น สิ่งที่แฟนผีแดงทุกคน ต้องทำเดี๋ยวนี้ คือ ลืมเรื่องความสำเร็จในยุคเซอร์ อเล็กซ์ ไปให้หมด แล้วเริ่มต้นเชียร์ปีศาจแดง “ยุคใหม่” กันนะครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook