‘แคมป์แตก’ความจริงที่ยัง‘เอาอยู่’

‘แคมป์แตก’ความจริงที่ยัง‘เอาอยู่’

‘แคมป์แตก’ความจริงที่ยัง‘เอาอยู่’
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กระแส "แคมป์แตก" ในทีมอัศวินสีส้มยังคงเป็นประเด็นให้นักข่าวต่างประเทศเขียนข่าวโจมตีเข้าทำนองยุแยงตะแคงรั่วกันต่อไปอย่างสนุกมือ

หลังจากมีข่าวหลุดออกมาว่า ฟาน เดอร์ ฟาร์ต ออกอาการไม่พอใจสถานะ "ตัวสำรอง" อย่างชัดเจนหลังเกมแพ้เดนมาร์ก วันนี้สื่อขยายความตีข่าวเชิงลบตามหลอกหลอนอีกเพียบ

ไล่สัมภาษณ์ขยายความหลายด้าน ทั้งไปขอคอมเมนต์เพิ่มเติมจากตัวฟาร์ต ไปถามความรู้สึกเดิร์ค เคาท์ หรือแม้แต่ลงทุนไปถามเออร์บี้ เอ็มมานูเอลสัน แข้งสำรองเอซี มิลาน ที่ฟาน มาร์ไวก์ หั่นตัวทิ้งไปตั้งแต่ช่วงเตรียมทีมอีกราย

แน่นอนว่าทุกคนตอบด้วยอารมณ์เดียวกันว่า "ผิดหวังและเสียใจ"กับการตัดทีมของโค้ช...

แต่ถ้าเรามองอย่างเป็นกลาง นี่ก็เป็นแค่ความรู้สึกฝ่ายเดียวของผู้ที่เสียผลประโยชน์เท่านั้น

ขึ้นชื่อว่านักฟุตบอล ทุกคนก็อยากจะเล่นเป็นตัวจริงทั้งนั้น แต่กฎสังคมมันก็บอกไว้ชัดเจนแล้ว "คนที่ดีและเหมาะสมที่สุด" เท่านั้นที่จะได้เล่น

คนที่เก่งที่สุด เบสิกดีที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะการันตีตำแหน่งตัวจริงเสมอไป ความฟิต ทีมเวิร์ก ผลงานในการซ้อม ณ ขณะนั้น รวมถึงแท็กติกที่โค้ชวางไว้ เป็นปัจจัยอื่นๆ ที่จะนำมาพิจารณา 11 ตัวจริงด้วย

ผมมองไม่ออกเลยว่า กับชุดตัวจริงที่ฟาน มาร์ไวก์ เลือกลงสนามในนัดแพ้เดนมาร์ก ตรงไหนที่เป็นจุดบอด..แบบบอดเป็นบ่อน้ำมันจริงๆ

ฟาน บอมเมล จริงอยู่ช้า-อายุมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายจนรับไม่ได้, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ชื่อชั้นดีกว่าคลาส แยน ฮุนเตลาร์ อยู่แล้วแถมฟอร์มล่าสุดที่ทำไว้กับอาร์เซนอลก็เยี่ยม เกรดบอลดีกว่า "เดอะ ฮันเตอร์" อยู่หนึ่งสเต็ป ถ้าผมเป็นโค้ชผมก็เลือกเขา

ส่วน อิบราฮิม อเฟลลาย, เจโตร วิลเล็มส์ และรอน ฟลาร์ เป็นสามแข้งหน้าใหม่สำหรับชุด 11 ตัวจริง ของฟาน มาร์ไวก์ ซึ่งพอลงสนามจริงทั้งสามคนแม้จะไม่โดดเด่นมากนักแต่รวมๆ ก็ถือว่าสอบผ่าน

ฉะนั้น ปัญหาเรื่องแคมป์แตกมันจึงเหมือนเป็นแค่การ "ประโคมข่าว" หาประเด็นมาเขียนหากินของสื่อฝรั่งเท่านั้นเอง ลึกๆ ผมยังมั่นใจว่า ทีมดัตช์ชุดนี้ยังเกาะกันแน่นปึ้กและพร้อมที่จะเคารพการตัดสินใจของโค้ชพร้อมที่จะทำหน้าที่อย่างเต็มร้อยต่อเนื่องไปจนถึงที่สุด

ทำไมถึงกล้าพูดขนาดนั้น เพราะเท่าที่ผมอ่านบล็อกของนักข่าวที่ตามติดทีมดัตช์ เขาเองก็ยังรู้สึกว่า ความพ่ายแพ้จากเกมนัดแรกไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากมายจนถึงขั้นทำให้บรรยากาศในทีมออกมาแย่ ในทีมยังเต็มไปด้วยสปิริต บรรยากาศการซ้อมยังดีมาก

บวกกับคอมเมนต์ของ ฟาน เดอร์ ฟาร์ต ที่ออกมายอมรับว่า ตนเองเริ่มไม่มีความสุขกับฐานะตัวสำรอง แต่ทุกสิ่งที่เขาออกมาพูดไม่ใช่เพื่อทำลายทีม เขาจะยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเองแบบเต็มร้อยอยู่เช่นเดิม

หรือแม้แต่เคาท์ที่ถูกนักข่าวหลอกถามเรื่องการที่ต้องหลุดจากทีมตัวจริง ซึ่งเคาท์เองก็ยอมรับว่า ผิดหวัง แต่ไม่มีหลุดออกจากปากสักคำว่า ไม่ยอมรับการตัดสินใจของโค้ช

ตลอดไปจนถึงสิ่งที่ เวสลีย์ สไนเดอร์ ยืนกรานว่า ถ้าทีมดัตช์มีปัญหาจริง เขาไม่คิดว่า ทีมจิตแพทย์จะช่วยอะไรได้มากไปกว่าปล่อยให้นักเตะในทีมเปิดใจเคลียร์ปัญหากันเอง

จะมีแย่หน่อยก็ตรงบทสัมภาษณ์ของเอ็มมานูเอลสัน ที่ยอมรับว่า ตนเองเสียความเคารพในตัวฟาน มาร์ไวก์ หลังจากไม่ถูกเลือกให้มาติดทีมชาติชุดนี้ ซึ่งผมมองว่ามันคือความรู้สึกของคนที่เสียผลประโยชน์มากกว่า อีกอย่างเอ็มมานูเอลสันไม่ได้อยู่ในทีมจึงไม่น่าจะมีอิทธิพลใดๆ ที่จะทำให้สปิริตในทีมสูญเสียไป

เปลี่ยนฟิวกันบ้าง เรามาพูดถึงเกมสำคัญที่ฮอลแลนด์จะพบ เยอรมัน วันพุธนี้กันดีกว่า ฮอลแลนด์ ซึ่งตั้งแคมป์อยู่ที่เมืองคาร์คอฟ ในโปแลนด์มีกำหนดจะเดินทางไปเมืองคาร์คีฟอีกครั้งเพื่อเล่นที่นั่นเป็นเกมที่สอง

ความพร้อมคร่าวๆ ยังไม่มีการการันตีใดๆอย่างเป็นทางการจากปากของฟาน มาร์ไวก์ เบื้องต้นคาดว่า โยริส มาไธจ์เซ่น จะกลับมาเป็นหัวใจในเกมรับได้อีกครั้ง โดยจะเข้าคู่กับ จอห์นนี่ ไฮติงก้า เหมือนเช่นในฟุตบอลโลกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และจะขนาบข้างด้วย เกรกอรี่ ฟาน เดอร์ วีล และเจโตร วิลเล็มส์

กลางตัวรับ แม้ฟาน เดอร์ ฟาร์ต จะออกมากดดันเรียกร้องหาตำแหน่งตัวจริงในทีม แต่ผมเชื่อว่า ฟาน มาร์ไวก์ คงไม่บ้าจี้ตามใจและคงจะยึด คู่มิดฟิลด์ตัวรับตามเดิม เนื่องจากเยอรมันเป็นเกมสำคัญที่เขาจำเป็นต้องมีตัวตัดเกมช่วยกันอยู่หน้าเกมรับ "คู่ลูกเขย" มาร์ค ฟาน บอมเมล และไนเจล เดอ ยอง รับหน้าที่ไปตามเดิม

เกมรุก เวสลีย์ สไนเดอร์ และ อาร์เยน ร็อบเบน เป็นสองอาวุธเด็ดที่การันตีตำแหน่งแน่นอน และอาจมีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในพื้นที่ของ อับราฮิม อเฟลลาย

ถ้าอเฟลลายถูกถอดออก มีความเป็นไปได้สองทาง คือ อย่างแรก จับฟาน เดอร์ ฟาร์ต เป็นตัวจริง สูตรนี้จะกลับไปเหมือนเมื่อครั้งฟุตบอลโลก 2010 เมื่อสไนเดอร์จะเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกอยู่หลังกองหน้า ฟาร์ต ฉีกตัวเองไปอยู่ซ้าย หรือสลับกันไปมาตามรูปเกม และร็อบเบนอยู่ขวา(จริงๆ ตอนนั้นนัดแรกๆ เป็นเคาท์ ที่เล่นทางขวา)

อีกสูตรเป็น โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่จะต้องฉีกตัวเองมาเล่นทางขวาตำแหน่งที่เขาเคยเล่นมากก่อนที่จะไปเอาดีกับการยืนเป็นหน้าเป้า สไนเดอร์หน้าต่ำ และร็อบเบนซ้าย มีคลาส แยน ฮุนเตลาร์ ยืนหน้า

อย่างไรก็ตาม ในตำแหน่งหน้าเป้า ผมไม่คิดว่า แยน ฮุนเตลาร์ จะดีไปกว่าฟาน เพอร์ซี่ และนักเตะอย่างฟาน เพอร์ซี่ ยังไงก็เอามานั่งสำรองไม่ได้..เสียดายของครับ

อีกตำแหน่งที่ใจผมอย่างให้เปลี่ยน นั่นก็คือ อยากเห็น ทิม ครูล เล่นเป็นตัวจริงแทนที่ สเตเคเลนเบิร์ก ผมว่าตอนนี้อดีตมือกาวไอแอ๊กซ์ยังไม่ท็อปฟอร์มนัก เห็นจากหลายๆ จังหวะจากนัดแรกดูยังขาดความมั่นใจ รวมถึงลูกคุมเสาปล่อยให้กองหน้ายิงลอดหว่างขา ใครจะมองอย่างไรก็ช่าง ครึ่งหนึ่งผมให้ไฮติงก้ารับผิดชอบ อีกครึ่งสเตเคเลนเบิร์กรับไปเพราะน่าจะทำได้ดีกว่านี้

11 ตัวจริงตามคาดในความรู้สึกของผมมีดังนี้ สเตเคเลนเบิร์ก, ฟาน เดอร์ วิล, มาไธจ์เซ่น, ไฮติงก้า, วิลเล็มส์, ฟาน บอมเมล, เดอ ยอง, สไนเดอร์, ฟาน เดอร์ ฟาร์ต, ร็อบเบน และฟาน เพอร์ซี่

เกมนี้ เป็นนัดสำคัญ ฮอลแลนด์ต้องพยายามเอาชนะให้ได้ หรืออย่างแย่ก็ต้องเสมอเป็นอย่างน้อยแล้วไปลุ้นผลอีกคู่ ก่อนจะไปวัดโอกาสเข้ารอบในนัดสุดท้ายที่จะเจอกับโปรตุเกส..

ส่งใจไปช่วยกันมากๆ ครับ เหล่า Oranje

เรื่องโดย "statoin talk"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook