ได้โปรด "ปิศาจแดง" คว้าแชมป์ UCL 2013 (ตอน 1)

ได้โปรด "ปิศาจแดง" คว้าแชมป์ UCL 2013 (ตอน 1)

ได้โปรด "ปิศาจแดง" คว้าแชมป์ UCL 2013 (ตอน 1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ใครที่กด "ไลท์" แฟนเพจของผมน่าจะได้เห็น 2-3 โพสต์สุดท้ายก่อน และหลังเกม "ซูเปอร์ซันเดย์" แมนฯยูฯ - เอฟเวอร์ตัน ที่ผม "ไข่ทิ้ง" ไว้ว่า จะมารีวิวเกมกับทอฟฟี่ ต่อด้วยพรีวิวศึก UCL รอบ 16 ทีมสุดท้ายของทีมปิศาจแดงสัก 2 ตอน

ผมมั่นใจเลยว่า 2 ตอน "เขียนสบาย" เพราะข้อมูลที่ได้รับ และสิ่งที่ได้เห็นก่อน และหลังลูกทีมท่านเซอร์ "คอนเฟิร์ม" การนำ 12 แต้มเมื่อเหลืออีก 12 นัด มีเยอะเหลือเกิน

ไล่ตั้งแต่ ทีมเรือใบสีฟ้า แมนฯซิตี้ ไปพลาดท่าเหลือเชื่อให้ เซาแธมป์ตัน 1-3 ณ เซนต์ แมรี ในเกมวันเสาร์จนหมดโอกาส "กดดัน" ทีมปิศาจแดงอย่างน่าเสียดาย

เพราะหากชนะ ท่านเซอร์จะต้องลำบากใจแน่ ๆ เนื่องจากต้องพะวงกับแต้มที่ลดลงเหลือ 6 คะแนน การจัดตัวคงจะ "กั๊ก ๆ" อยู่พอควรในเวลาที่เตะช้ากว่าคู่แข่ง UCL รอบ 16 ทีมสุดท้าย เรอัล มาดริด อีก 1 วัน ไม่นับการต้องเตรียมตัวเดินทางไปสเปน

อาร์วีพี ยังฟอร์มดีอย่างต่อเนื่อง

แต่พอ ซิตี้แพ้ และเปิดประตูให้แมนฯยูฯ สามารถถ่างช่องว่างออกเป็น 12 คะแนน ขณะที่เหลืออีก 12 นัดได้ ท่านเซอร์จึงจัดทัพ 11 คนแรก "เต็มสูบ" เฉพาะอย่างยิ่งทั้ง โรบิน ฟาน เพอร์ซี และเวนย์ รูนีย์ ต่างลงสนามครบ 90 นาที

ผมเชื่อว่า ทันทีที่เห็นไลน์อัพ 11 คนแรกของทีมปิศาจแดงนัดนี้ "คอบอล" ต้องแอบสงสัยแน่นอนว่า การแพ้ของซิตี้มีส่วนในการจัดทีมเต็มสูบหรือไม่?

ผู้สื่อข่าว ช่อง "พรีเมียร์ลีก ทีวี" ชมได้ทางทรู วิชั่นส์ เอชดี 2 (ช่อง 135) ตะล่อมท่านเซอร์ด้วยคำถามทั่ว ๆ ไป เช่น ผลงานของ ไรอัน กิ๊กส์ ก่อนจะยิงเข้าประเด็นคำถามนี้ที่ท่านเซอร์ก็ตอบทันทีแบบฉะฉานว่า "ใช่!"

ดังนั้นข่าวทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษที่ได้อ่านกันว่า เซอร์อเล็กซ์เตรียมจะเปลี่ยนทีมประมาณ 7 คน แต่สุดท้ายเปลี่ยนใจใส่ "ชุดจริง" เพราะเห็นโอกาสทำแต้มทิ้งห่าง 12 คะแนน และความคุ้มค่ากับการ "ได้พัก" ผู้เล่นในนัดหลัง ๆ

จึงมีที่มาจากบทสัมภาษณ์นี้ซึ่งในการข่าวถือเป็น Primary Source ครับ

กิ๊กส์สร้างสถิติยิงทุกฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ผมเองที่เขียนถึงเรื่องนี้เยอะ และไล่ที่มาตั้งแต่ต้นจนจบก็เพราะชอบ "ประเด็น" นี้ และเห็นว่าเป็นประเด็นที่คมซึ่งสามารถเป็น "บทเรียน" ให้คนรักฟุตบอลได้ไม่มากก็น้อย

นอกจากนี้ กับโอกาสเป็นแชมป์ เฟอร์กี้ยังยืนยันว่า แผนการของเค้าก็คือ การชนะในนัดถัดไปโดยไม่ต้องสนใจเกมคู่แข่งซึ่งก็ตรงกับคอมเมนต์ของ ไรอัน กิ๊กส์ นักเตะที่ยิงได้ฤดูกาลนับตั้งแต่ 1990/91 หรือ 23 ซีซั่นติดต่อกัน

ความสำคัญของ 3 แต้มเหนือเอฟเวอร์ตันยังทำให้ทีมปิศาจแดงสะสม 65 คะแนนจาก 26 นัด หรือมีสิทธิ์จะเป็นทีมแรกที่เก็บแต้มเกิน 100 คะแนน (101 คะแนน) หากชนะในอีก 12 นัดที่เหลือ

หรือหากไม่ชนะทุกนัดก็จะมีสิทธิ์ลุ้นทำลายสถิติแต้มรวมสูงสุด 95 คะแนนของเชลซี และโจเซ่ มูรินโญ่ ในฤดูกาล 2004/05 ได้

ทว่า สำคัญที่สุดคงไม่ใช่เรื่องของ "สถิติ" ครับ แต่เป็นความหรูหรา ฟุ่มเฟือยที่สามารถจ่ายความพ่ายแพ้ให้ตัวเองกับ แมนฯซิตี้ ในบ้าน (6 เม.ย.), เยือน อาร์เซนอล (27 เม.ย.) และในบ้านกับ เชลซี (4 พ.ค.) ได้ชนิดไม่มีผลใด ๆ

มูรินโญ่ เข้ามาชมเกมในนัดนี้ ก่อนจะต้องดวลกับผีในศึก UCL

หรือก็คือ เกมที่ถูกมองว่าจะ "ตัดแต้ม" แชมป์พรีเมียร์ลีก ของทีมแมนฯยูฯ จะไม่มีความหมายใด ๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะ 12 คะแนนนั้นดีเพียงพอ

ครับ ผมคงจบ "มุม" ผั่งทีมปิศาจแดงไว้เท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเสริมเพิ่มเติมในตอนที่ 2 แต่อยากจะขออนุญาตทิ้ง "ข้อคิด" หลังเกมจากฝั่งเอฟเวอร์ตันที่ผมยังไม่ได้เห็น "สื่อไทย" ที่ไหนเล่นประเด็นนี้

เดวิด มอยส์ ถูกถามถึงเกมรับตัวเองไล่ตั้งแต่ ซิลแวง ดิสแต็ง เจ็บตอนวอร์มอัพ แล้วต้องใช้จอห์น ไฮติงก้า ลงมาแทนซึ่งกุนซือสกอตต์ไม่ได้ "ติดใจ" อะไรมาก (แม้กองหลังดัตช์จะห่วยมากในนัดนี้ และนัดก่อนกับเรดดิ้งก็ตาม)

ทว่า คีย์พอยต์อยู่ที่ มอยส์ "ยอมรับ" ว่าไม่เคยซ้อมเล่นเกมรับ High line หรือ "รับสูง" และไม่เข้าใจว่า ทำไมลูกทีมจึงเล่นแบบนั้นจนเป็นที่มาของบอลทะลุให้ RVP หลุดไปยิงชนเสา และหลุดไปยิงประตูที่ 2

ทั้ง 2 เหตุการณ์ ฟิล เนวิลล์ "สอบตก" เหมือนสมัยพี่ชาย แกรี่ เนวิลล์ ชอบยืนห้อยต่ำกว่าเซนเตอร์ฮาล์ฟ หรือขอบวิ่งย้อนหลังทั้งที่ 2 เซนเตอร์ฮาล์ฟ (ไฮติงก้า และจากิเอลก้า) Hold the line หรือยืนรักษาเส้นแนวรับตัวเองเอาไว้

ผลลัพธ์ก็คือ RVP หลุดเดี่ยว และไม่ออฟไซด์ ในเวลาที่ต้องตั้งคำถามกับกองกลาง เอฟเวอร์ตัน นำโดย ลีออน ออสมัน ด้วยเช่นกันที่ปล่อยให้มิดฟิลด์ แมนฯยูฯ มีเวลามากพอ "วางบอล" ให้ RVP

เวลาหมดแล้ว ไว้พรุ่งนี้มาต่อกันที่ "แท็คติก" ซึ่งท่านเซอร์เตรียมไว้ "รับมือ" เรอัล มาดริด และทำไมผมถึงอยากให้แมนฯยูฯได้แชมป์ UCL ปีนี้มากที่สุดใน 3 โลกครับ

เรื่องโดย "Kai Muk Dum"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook