จาก คาร์ร่า สู่บทอำลา เบบี้โกล

จาก คาร์ร่า สู่บทอำลา เบบี้โกล

จาก คาร์ร่า สู่บทอำลา เบบี้โกล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : เชื่อว่า วันสองวันที่ผ่านมา นักเตะที่ถูกลืมอย่าง ไมเคิ่ล โอเว่น กลาย เป็นข่าวดังหน้าหนึ่งกลบกระแสข่าวอื่นๆ ไปทั่ว เมื่อเขาประกาศที่จะยุติอาชีพพ่อค้าแข้งในช่วงปิดฤดูกาลนี้ เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บที่รุมเร้ามาตลอดเป็นแรมปี

มีหลายคนได้พูดยกย่อง ตัวของ เบบี้โกล มามากมาย แต่วันนี้อยากจะหยิบบทสัมภาษณ์ของคนที่เป็นเพื่อนซี้ที่สุดของ โอเว่น และเติบโตมาพร้อมๆ กัน อย่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์ มาบอกกล่าวผ่านคอลัมน์นี้ เพื่อให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจของ คาร์ร่า ที่มีต่อ โอเว่น รวมถึงเหตุการณ์ในอดีต ของ โอเว่น ที่หลายคนอาจจะลืมไปแล้วก็เป็นได้

ในสีเสื้อของ ลิเวอร์พูล โอเว่น จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในตำนานดาวยิงของถิ่นแอนฟิลด์ จากสถิติถล่มประตูอันน่าทึ่ง ยิงได้ 158 ประตู จากการลงสนาม 297 นัด พร้อมทั้งทำสถิติต่างๆ มากมาย ในรั้วแอนฟิลด์ เพื่อนซี้ที่สุดคนหนึ่งของ โอเว่น ก็คือ คาร์ราเกอร์ ด้วยความที่เป็นแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ที่มาเป็นเด็กฝึกของลิเวอร์พูล เหมือนกัน แถมโตมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งดูแล้ว ถ้าจะมีใครพูดถึง โอเว่น ได้ลึกซึ้งที่สุดก็คงจะต้องเป็น คาร์ร่า นี่แหละ

"ผมเชื่อว่าถ้าคุณเห็น ไมเคิ่ล ครั้งแรกคุณต้องประทับใจ โดยเฉพาะในเกมเอฟเอ ยูธคัพ ที่เขาลงไปซัดแฮตทริกใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1996 " คาร์ราเกอร์ เผยภาพแรกที่เขานึกถึง โอเว่น

บัลลงดอร์ สุดยอดโทรฟี่ส่วนตัวของ เบบี้โกล

"แน่นอนว่า คนในสโมสรอาจจะได้ยินชื่อเขามาก่อนบ้าง ทันทีที่ผมเห็นเขา ผมรู้เลยว่า ไมเคิ่ล จะต้องสร้างสิ่งที่สุดวิเศษได้ เขามีทั้งความนิ่ง และวิญญาณเพชฌฆาตซึ่งคุณไม่มีทางหาได้จากเด็กอายุเพียงแค่ 16 ปีอย่างเขา"

สิ่งที่ผมทึ่งในตัวของ ไมเคิ่ล มากที่สุดก็คือความกล้า เขาไม่เคยกลัวที่จะเข้าปะทะกับใคร ผมว่าผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมเจอกับทุกคนแล้วนะ แต่เป็นไมเคิ่ล นั่นแหละ ที่ทำให้ผมหน้าหงาย ตอนที่เราซ้อม ซึ่ง นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความกระหายในชัยชนะของเขาที่ไม่เป็นรองใคร

หลังจากเหตุการณ์ในเกมกับ ยูไนเต็ด ไม่ถึงปี เราก็ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า เราทั้งคู่คือนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในทีมชุดนั้น เรากลายเป็นเพื่อนรักกัน และเป็นเพื่อนร่วมห้องกันด้วย ไมเคิ่ล เปิดตัวด้วยการยิงประตู วิมเบิลดัน และกลายเป็นผู้เล่นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดว่าเป็นผู้เล่นแห่งยุคสมัยนั้น ทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมเพิ่ง 18 เท่านั้น

ในยุครุ่งเรืองก็ติดทีมชาติทั่งคู่ เช่นกันในยุคตกต่ำก็ดันหลุดมันพร้อมกัน

ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่เขายิงประตู อาร์เจนติน่า ในฟุตบอลโลก 1998 ตามด้วยรางวัลบัลลง ดอร์ ปี 2001 คุณคงจะหัวเราะแทบตกเก้าอี้แน่ ถ้าหากมีใครมาบอกว่าเขาจะมีชะตาแบบที่เป็นอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้

จุดเปลี่ยนของ ไมเคิ่ล ก็คือการบาดเจ็บ เขาเจ็บหนักๆ ครั้งแรกก็คือเกมกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1999 ที่เอ็นหลังหัวเข่า หลังจากนั้นเขาก็เจ็บเรื่อยมา จนทำให้เขาสูญเสียความเร็วที่พร้อมฉีกแนวรับไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง อาการเจ็บในบอลโลก 2006 ซึ่งนั่นทำให้เราไม่ได้เห็น ไมเคิ่ล คนเดิมอีกต่อไป

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ไมเคิ่ล มีปัญหากับการลงสนามก็คือ ระบบฟุตบอลในยุคใหม่ ทั้ง 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 มันเป็นระบบที่ไม่เอื้อกับเขาเอาซะเลย และนั่นก็คืออีกสาเหตุที่ทำให้ ไมเคิ่ล ไม่สามารถกลับมาได้

สิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดก็คือผู้เคนต่างลืมกันไปอย่างง่ายดาย ว่าเขาเคยเป็นสุดยอดผู้เล่น ที่ไม่เคยเกรงกลัวอะไร แม้ว่าจะต้องโดนเปรียบเทียบกับดาวยิงชั้นยอดอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และสแตน คอลลีมอร์ เขาเป็นคนที่ไม่เคยท้อถอย เมื่อเขาล้ม เขาก็จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง และกลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม

ตอนที่เขาเป็นตัวสำรองในเกมลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศปี 2001 กับ เบอร์มิงแฮม ซึ่งเราชนะจุดโทษ เขาก็กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงในเกมเอฟเอ คัพ กับ อาร์เซน่อล ซึ่งจบลงด้วยการที่เขายิง 2 ประตูในช่วงท้ายเกม พาเราคว้าแชมป์ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ว่าเขาคือยอดนักเตะและเกิดมาเพื่อลงสนามในเกมใหญ่ๆ แบบนี้

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ เรอัล มาดริด ต้องการตัวเขา ตอนนั้น เราอยู่ในระหว่างช่วงพรีซีซั่น ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตอนปี 2004 ซึ่งแน่นอนผมกับเขา เป็นรูมเมท กันเหมือนเดิม เขาบอกกับผมว่า เรอัล มาดริด ได้ยื่นข้อเสนอมาให้กับเขา และเขาก็กำลังพิจารณามันอย่างจริงจังด้วย

ตอนนั้น ลิเวอร์พูล เพิ่งเซ็นสัญญาคว้าตัว ฌิบริล ซิสเซ่ และมิลาน บารอส ที่เพิ่งกลับจากศึกยูโร 2004 ในฐานะดาวซัลโว ทำให้ ไมเคิ่ล รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะไปตอบรับกับความท้าทายใหม่ๆ ผมพยายามบอกเขาให้เขาคิดว่า ตัวเองคิดผิด ผมบอกเขาว่า เรอัล มาดริด คือสโมสรที่เต็มไปด้วยเกมการเมือง และถ้าเขาไปที่นั่น เขาไม่มีทางได้ลงเล่นแน่

มาดริด มี ราอูล กับ โรนัลโด้ ที่ลงเล่นเป็นประจำอยู่แล้ว และการที่คุณจะประสบความสำเร็จที่นั่นได้ คุณต้องเป็นอะไรที่มากกว่ากองหน้าที่ทำประตูได้ แต่ว่า ไมเคิ่ล เชื่อว่าเขาคือคนที่ดีที่สุด และจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนที่สเปน ก่อนที่จะเลือกอำลาลิเวอร์พูล ไปในที่สุด

ที่ เรอัล มาดริด แม้ว่าเขาจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เขาก็ทำได้ดี แม้ว่าทีมจะมีการเปลี่ยนโค้ชไปถึง 3 รอบ รวมทั้งโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงแบบจำกัดจำเขี่ย เขาก็ยังคงยิงได้ 16 ประตู จากการลงสนาม 45 นัด

เขาอาจจะไม่ได้แชมป์อะไรที่ มาดริด แต่ชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร ตอนนั้น ลิเวอร์พูล ก็สนที่จะดึงตัวเขากลับมาเหมือนกัน แต่ว่าเราก็ต้องยอมให้กับ นิวคาสเซิ่ล ที่มาพร้อมกับข้อเสนอที่น่าทึ่ง

นอกจากนี้ ตอนที่เขาออกจาก นิวคาสเซิ่ล ผมก็แอบหวังเช่นกันว่าเขาจะกลับมาที่ ลิเวอร์พูล จริงอยู่ที่แฟนบอลของ ลิเวอร์พูล จะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่กับการที่เขาทิ้งทีมไปอยู่กับ เรอัล มาดริด แต่ผมเชื่อเลยว่า รอยร้าวทุกอย่างจะได้รับการสมานให้สนิทเหมือนเดิม ถ้าหากเขากลับมาที่ ลิเวอร์พูล

ตอนนั้นผมรู้มาว่า เขาเริ่มคิดถึงการไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ผมเชื่อว่า ถ้ามีข้อเสนอจาก ลิเวอร์พูล เขาจะกลับมาที่นี่ ที่เป็นบ้านของเขาอย่างแน่นอน เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะเรียกศรัทธากลับมาจากแฟนบอล แต่ว่า ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือของเราในตอนนั้น เลือกที่จะซื้อ ดาวิด เอ็นก๊อก เข้ามา แทนที่จะดึงตัว โอเว่น เข้ามาสู่ทีม แบบไม่มีค่าตัว

การไปอยู่กับ ยูไนเต็ด เป็นการทำลายโอกาสที่จะเขาจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับแฟนบอลลิเวอร์พูลได้ ผมบอกได้เลยว่า แฟนๆ ยูไนเต็ด ไม่เคยมองว่าเขาเป็นฮีโร่ แม้ว่าเขาจะเป็นคนยิงประตูชัยให้ ยูไนเต็ด ชนะ ซิตี้ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก็ตาม

บ่องตงผม (คาร์ราเกอร์) ยังเจ็บปวดไม่หาย..ที่เห็นไมเคิ่ลย้ายไปสวมเสื้อปีศาจแดง

โดยส่วนตัว ผมมองว่าเขาควรจะตัดสินย้ายไปเล่นต่างแดน จะที่อเมริกาหรือตะวันออกกลางก็ได้เมื่อประมาณสองปีก่อน ซึ่งถ้าเขาตัดสินใจแบบนั้นทุกอย่างก็อาจจะไม่จบลงแบบนี้

แต่แม้ฉากจบของเขาอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างยอดนักเตะคนอื่น แต่สิ่งดีๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่มีทางลบเลือนไปจากความทรงจำของผมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเกมเอฟเอ คัพ ปี 2001 ในรอบชิงที่เรียกกันว่า "โอเว่น ไฟน่อล"

เกมนัดนั้นจะอยู่กับผมไปตลอดกาล

เรื่องโดย " The Nutt"


"โอเว่น ไฟน่อล"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook