เรื่องรัก 3 เส้าของ มักซี่, อิคาร์ดี้ และ วานด้า.. ที่ไม่มีทั้งพระเอกและผู้ร้าย

เรื่องรัก 3 เส้าของ มักซี่, อิคาร์ดี้ และ วานด้า.. ที่ไม่มีทั้งพระเอกและผู้ร้าย

เรื่องรัก 3 เส้าของ มักซี่, อิคาร์ดี้ และ วานด้า.. ที่ไม่มีทั้งพระเอกและผู้ร้าย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

3 สิ่งที่ผู้ชายห้ามยืมกันโดยเด็ดขาดคือ รถ, ปืน และ เมีย....

ว่ากันว่าลูกผู้ชายตัวจริงนั้นคือมนุษย์จำพวกที่ถือศักดิ์ศรีมากกว่าเงินทอง “ใจเเลกใจ” คือสิ่งที่พวกเขาอยากจะได้รับจากผู้คนที่อยู่รอบกาย แต่โลกจริงมันไม่สวยงามเหมือนในภาพยนตร์ การทรยศหักหลังจึงเกิดขึ้นได้เสมอ เรื่องเล็กๆอาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้โดยง่ายถ้าให้ความไว้วางใจกันจนมากเกินไป และนี่คือเรื่องราวคนเดียวไม่เหงาเท่า 3 คน "มักซี่ โลเปซ, เมาโร อิคาร์ดี้ และโจทย์รักของเรื่อง วานด้า นาร่า"

แม้จะอายุน้อยแต่ เมาโร อิคาร์ดี้ ก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าคุณวุฒิบนสังเวียนหญ้าของเขาไม่เคยน้อยหน้าใคร แต่ถึงอย่างนั้นการทำตามเสียงหัวใจของเขากลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ทีมงานนักเตะ และสต๊าฟฟ์ของ อาร์เจนติน่า ต้องเสียแตกเป็น 2 ฝ่าย

 

ฝ่ายแรกมองว่าด้วยประตูมากมายที่ อิคาร์ดี้ ยิงได้ก็เป็นสิ่งที่สมควรที่จะทำให้เป็นคนสำคัญในทีมชาติ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าการกระทำตามใจของเขา คือ สิ่งที่น่ารังเกียจ จนเกินกว่าจะได้รับเกียรติในฐานะตัวแทนของคนทั้งชาติ

เขาร้ายจริงหรือไม่ และใครเป็นคนผิด?

พี่ชายที่เเสนดี

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2011 ซึ่งเป็นปีที่ มักซี่ โลเปซ เป็นหนึ่งในนักเตะซีเนียร์และคนสำคัญของ ซามพ์โดเรีย ก่อนหน้านั้น มักซี่ เผชิญโลกกว้างในโลกลูกหนังมาพักใหญ่ เขาเคยเล่นให้กับหลายลีกหลายประเทศ รวมถึงมีช่วงเวลาสั้นๆกับบาร์เซโลน่า ทีมดังจาก สเปน

 1

คุณวุฒิและวัยวุฒิของ มักซี่ ทำให้เพื่อนร่วมทีมหลายคนนับถือเขาแม้จะมาอยู่กับทีมได้ไม่นานก็ตาม เขามีครอบครัวที่อบอุ่น เขาแต่งงานและใช้ชีวิตคู่กับ วานด้า นาร่า มาตั้งแต่ปี 2008 มีลูกชาย 2 คน (ณ เวลานั้น) เรียกได้ว่านี่คือชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นที่ใครก็ต่างถวิลหา ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปได้สวยเพราะ มักซี่ กำลังยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ วานด้า และลูกๆก็ตั้งหลักกับชีวิตในอิตาลีได้เเล้ว หลังจากชีวิตก่อนหน้านี้ต้องเดินทางไม่ได้อยู่กับที่เพราะ มักซี่ เคยค้าแข้งทั้งใน อาร์เจนติน่า, สเปน, บราซิล หรือแม้แต่กระทั่งรัสเซีย

อย่างไรก็ตามทุกสิ่งที่ได้แพลนไว้ก่อนหน้านี้ก็ต้องเจอกับความยุ่งเหยิงเมื่อ "ลา ซามพ์" ประกาศซื้อตัว เมาโร อิคาร์ดี้ นักเตะดาวรุ่งวัย 18 ปี มาร่วมทีม...

มักซี่ กับ อิคาร์ดี้ มีความเหมือนกันอยู่หลายอย่าง ประการแรก ทั้งคู่มาจากอาร์เจนติน่าที่อยู่ไม่ติดบ้าน ต้องออกมาค้าแข้งในต่างเเดนตั้งแต่ยังเด็ก ประการที่ 2 คือพวกเขามีช่วงเวลาในการเล่นให้ บาร์เซโลน่า และไม่สามารถแจ้งเกิดได้เหมือนกัน และประการที่สุดท้าย คือ พวกเขาต่างรู้ว่าเมื่อมีคนบ้านเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน พวกเขาต้องสนิทกันเข้าไว้

ณ เวลานั้น มักซี่ มีค่าจ้างมากกว่า มีชื่อเสียงมากกว่า มีของหรูหราใช้มากกว่า ขณะที่ อิคาร์ดี้ แค่ถูกกล่าวถึงในฐานะนักเตะวัยรุ่นค่าตัว 400,000 ยูโร ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ มักซี่ ที่ต้องคอยทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีให้กับน้องชายผู้มาใหม่

อิคาร์ดี้ ก็มองว่า มักซี่ คือหนึ่งในไอดอลของเขาเหมือนกัน ช่วงเวลาที่ทั้งสองคนอยู่กับ บาร์เซโลน่า ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน มักซี่ เล่นให้ทีมชุดใหญ่ ขณะที่ อิคาร์ดี้ เป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาในทีมชุดเยาวชนรุ่นยู 12 มีการเปิดเผยภาพถ่ายในช่วงเวลาที่กาตาลันเมื่อครั้งอดีต ซึ่งก็พบว่า อิคาร์ดี้ คือเด็กน้อยใส่เยลผมตั้ง สวมหมวกแก็ป เเละมาขอลายเซ็น มักซี่ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

เรื่องราวทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกนักที่ทั้ง มักซี่ และ อิคาร์ดี้ เข้าคู่กันได้ดีในฐานะเพื่อนร่วมทีม

 2

ไม่ว่า มักซี่ ปรากฎตัวที่ไหน อิคาร์ดี้ ก็เหมือนเป็นเงาตามตัว มักซี่ เป็นพี่เลี้ยงทั้งในและนอกสนาม ทั้งคู่เป็นนักเตะในตำแหน่งกองหน้าหมายเลข 9 เหมือนกัน ดังนั้นก็ไม่ต้องสืบเลยว่าทักษะการวิ่งหาช่องในกรอบเขตโทษที่เป็นจุดเด่นของ อิคาร์ดี้ ในตอนนี้ อย่างน้อยๆเขาก็น่าจะได้อิทธิพลมากจากลูกพี่คนนี้แน่นอน...แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม  

ช่วงเวลาที่ มักซี่ ถ่ายทอดวิชายิงประตูให้กับ อิคาร์ดี้ รุ่นน้องรายนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อิคาร์ดี้ ยิงได้ถึง 19 ประตูในช่วงให้การเล่นให้กับทีมสำรอง และชื่อเสียงก็โด่งดังขึ้นจนถูกคาดว่าจะขึ้นมาเล่นร่วมกับ มักซี่ ได้ในเวลาปีสองปีข้างหน้านี้

ขณะที่นอกสนามก็ต้องถือว่า มักซี่ เปิดใจให้กับน้องชายคนนี้อยู่ไม่น้อย เขาพก อิคาร์ดี้ ไว้ใกล้ตัวตลอด....ไม่ใช่แค่ใกล้ตัวเขาเท่านั้น แต่มันหมายถึงการให้ อิคาร์ดี้ เข้าใกล้ครอบครัวของเขาด้วย

มีรูปถ่ายหลายใบเมื่อครั้งช่วงเวลาที่ ซามพ์โดเรีย ของ มักซี่ วานด้า และ อิคาร์ดี้ ที่ยืนยันว่าทั้ง 3 คนลองใช้ "ใจ แลก ใจ" ทั้งการไปเที่ยว ณ ประเทศกรีซ ที่มีเพียง หาดทราย ทะเล กับ 3 เรา...รวมถึงรูปเซลฟี่ที่ มักซี่ เป็นคนถือกล้อง และยืนอยู่หน้าสุด ขณะที่ วานด้า กำลังเอียงคอไปทาง อิคาร์ดี้ และชูสองนิ้วเหนือหัวสามีของเธอ ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่

 3

แต่ "รูปสวมเขา" รูปนี้กลายเหมือนลางบอกเหตุที่ทำให้ทั้ง 3 ชีวิตต้องวุ่นวาย

เพราะรัก...จึงไว้ใจ

เรื่องราวความไว้ใจนำมาซึ่งความเจ็บปวดภายในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ในปี 2012 หรือ 1 ปีหลังจากที่ อิคาร์ดี้ หลบอยู่ใต้ปีกของ มักซี่ ในฐานะน้องชายผู้น่ารัก เรื่องแปลกๆก็เริ่มขึ้นโดยที่พี่ชายคนนี้ไม่ทันได้ระวังตัวไว้ก่อน

สายตา อิคาร์ดี้ ที่มอง วานด้า เหมือนเด็กหนุ่มที่กำลังมองนางในฝัน นั่นก็ไม่แปลกเพราะ ถึงแม้ว่า วานด้า จะเป็นคุณแม่ลูก 3 แล้วแต่ทรวดทรงองค์เอวยังเช้งกระเด๊ะ หล่อนถือเป็นตัวท็อปของประเทศอาร์เจนติน่าอยู่เหมือนกัน เธอคือนางแบบระดับแถวหน้าที่ได้รับเลือกเป็นคนแรกๆในสัปดาห์เเฟชั่นวีกต่างๆทั่วโลก

 4

อิคาร์ดี้ และ วานด้า เข้ากันได้ดี เขาชอบในความเป็นผู้ใหญ่ของเธอ วานด้า เองด้วยความที่อายุมากกว่าก็มีหลายเรื่องที่เขาคอยจัดการให้อิคาร์ดี้ ซึ่งเรื่องนี้ มักซี่ ก็รับรู้แต่ไม่ได้คิดอะไร เขาแค่อยากให้ อิคาร์ดี้ โฟกัสกับเรื่องฟุตบอลและจงอย่าใส่ใจเรื่องนอกสนามมากเกินไป ดังนั้นเรื่องเล็กๆน้อยๆเรื่องใดที่ วานด้า พอเป็นธุระให้ อิคาร์ดี้ ได้ เขาก็ยินดีที่จะให้เธอช่วยเหลือ

หากไม่ใช่นักบวชระดับอรหันต์แล้วไซร้ใครเล่าจะต้านทานความรักที่เกิดจากความใกล้ชิดได้ การพูดคุยกันที่ถูกปากถูกคอทำให้ปฎิสัมพันธ์ระหว่าง อิคาร์ดี้ และ วานด้า ขยับก้าวหน้าไปทีละนิดๆ จนที่สุดเเล้วแม้จะไม่มีใครเอ่ยปากต่อกันอย่างชัดเจนว่า "เรารักกัน" แต่ความรักความใคร่ก็ส่งผลให้ชีวิตครอบครัวของ วานด้า และ มักซี่ เกิดความสั่นไหวขึ้น ทั้งสองคนทะเลาะกันบ่อย มีปากเสียงใส่กัน จากความไม่เข้าใจ และบ่อยครั้งที่ฝ่ายหญิงจบการทะเลาะด้วยน้ำตา อิคาร์ดี้ ก็เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาที่ดีสำหรับเธอมาโดยตลอด

 5

และมองกลับกันในมุมของ มักซี่ สายตาหวานหยดย้อย และทรวดทรงองค์เอวของ วานด้า ที่ทำให้ อิคาร์ดี้ คิดเกินเลยไปถึงไหนต่อไหน มันคือสิ่งที่เขาเห็นมานานเเล้ว แน่นอนว่าตามธรรมชาติของผู้ชาย หญิงสาวจะสวยแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เราลุ่มหลงด้วยร่างกายไปตลอดชีวิต มักซี่ เองก็ปล่อยปะละเลย วานด้า มากเกินไปเช่นกันจนทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น

ข้อความสื่อรัก...

"ตึ๊งดึ่ง!" เสียงจากโทรศัพท์ของ อิคาร์ดี้ ดังขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่องบินเดินทางไปเล่นเกมปรีซีซั่นกับอินเตอร์ มิลาน ที่สหรัฐอเมริกาในปี 2013 เขาหยิบมันขึ้นมาดูและต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะมันเป็นข้อความจาก วานด้า ที่มีเรื่องอยากจะไหว้วานเขาหน่อย

 6

"ไม่รู้ว่าจะรบกวนกันเกินไปไหม แต่ถ้าเธอไปอเมริกาฉันอยากให้เธอช่วยดู iPad รุ่นใหม่ให้ฉันหน่อยสิ พอดีว่าที่ อิตาลี มันยังไม่มีขายเลย" วานด้า หย่อนระเบิดลูกแรกทางข้อความที่ทำให้ อิคาร์ดี้ ต้องใจสั่นก่อนจะบินข้ามทวีปในไม่กี่ชั่วโมง

ตอนนั้นหัวใจของเด็กหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ แม้เขาจะไม่ประสากับความรักมากนักเตะแต่เขาก็ตะหงิดใจว่าข้อความสั้นๆข้อความนี้มีนัยยะอะไรมากกว่าแค่ไอแพดหรือเปล่า เพราะจริงๆเรื่องแค่นี้ วานด้า แค่บอกให้ มักซี่ จัดการมันก็เรียบร้อยแล้ว

"เอาจริงเลย ณ ตอนนั้นผมแปลกใจ ปกติเเล้วผมจะแชทกับ มักซี่ เสียส่วนใหญ่....แต่ตอนนั้นผมนึกสงสัยเเล้วล่ะว่า วานด้า อยากจะได้เเท็บเล็ตจริงๆ หรืออยากจะได้อะไรกันแน่?"  อิคาร์ดี้ เปิดใจอย่างอารมณ์ดีเมื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการได้พูดคุยกันโดยตรงของทั้งสองคน

แม้จะเป็นธุระที่นอกเหนือหน้าที่แต่ อิคาร์ดี้ ก็เต็มใจเสียเหลือเกินกับภารกิจนี้ ความปลาบปลื้มทำให้เขาใส่ใจกับเรื่องแท็บเล็ตสื่อรักนี้เป็นอย่างมาก เขาแทบพลิกแผ่นดินหาสิ่งที่ วานด้า อยากได้ และนับวันรอที่จะกลับอิตาลี เพื่อมอบสิ่งนี้ให้กับเธอ เขาอยากให้เธอยิ้ม และรู้ว่า "เพื่อเธอ...เขาทำได้"

"ทันทีที่กลับมาถึง มิลาน สิ่งแรกที่ผมทำคือผมรีบไปหาวานด้า ผมส่งไอแพ็ดให้เธอเองกับมือ มันเป็นข้ออ้างที่ยอดเยี่ยมมากที่ทำให้ผมได้ไปพบกันเธอ" อิคาร์ดี้ เล่าต่อ "หลังจากนั้นเราส่งข้อความคุยกันหลายครั้งมากขึ้นเรื่อยๆ"

ย้อนความไปตอนที่ วานด้า, มักซี่ และ อิคาร์ดี้ อยู่บนเรือลำเดียวกันที่เมืองชายหาดในประเทศกรีซอย่าง เอโอเลียน บีช อีกครั้ง เรื่องทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตรไปหมดเมื่อ อิคาร์ดี้ เปิดเผยความจริงว่าในทริปดังกล่าวคนที่เอ่ยปากชวนเขาคือ วานด้า เองไม่ใช่ มักซี่ แต่อย่างใด

"เรากำลังจะไปเกาะ เอโอเลี่ยนกันนะ ทำไมเธอไม่กับเราล่ะ" นี่ประโยคที่ อิคาร์ดี้ ยืนยันว่า วานด้า เปิดทางให้เข้าขึ้นไปอยู่บนเรือลำนั้นเอง จากนั้นก็มีรูปหลุดออกมาอย่างที่เราได้เห็นกันในข้างต้นนั่นแหละ

จริงๆแล้ว อิคาร์ดี้ ไปในฐานะแขก เขาวางตัวไม่ค่อยถูกนัก การปาร์ตี้ร่วมๆกับเพื่อนของมักซี่ ที่แก่กว่าเขาหลายปีทำให้เขาไม่ค่อยจะมีอารมณ์ร่วมสักเท่าไหร่ เขารู้สึกว่าเหมือนตัวเองคิดผิด ที่ตบปากรับคำมาเที่ยวทริปนี้  อิคาร์ดี้ เป็นคนเดียวของทริปที่เลือกที่จะปลีกตัวขึ้นไปนั่งบนชั้นที่ 2 ของเรือยอร์ชที่ลอยอยู่กลางทะเล

เสียงเพลงเร็กเก้ และ วิสกี้ ทำให้ อิคาร์ดี้ พอหายเหงาขึ้นมาบ้าง แต่เเล้วสิ่งที่เขาอยากจะทำมากที่สุดในทริปนี้ก็ปรากฎขึ้นจนได้ วานด้า เดินขึ้นมาบนชั้น 2 และนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเขา

"ขณะที่ผมนั่งเหงาอยู่คนเดียวบนเรือ วานด้า ขึ้นมาเเละนั่งข้างๆผม แปลกนะที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดอะไรเลยในเวลาที่คุยกับเธอ" อิคาร์ดี้ กล่าว

 7

อะไรที่ทำให้รุ่นน้องคนนี้กล้านั่งคุยกับคนรักของพี่ชายแบบ 2 ต่อ 2 ในขณะที่มีฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ในเส้นเลือดกันนะ?

ลำพัง อิคาร์ดี้ เองก็พอรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง แม้ วานด้า จะสวยโดนใจ ทว่าเขาเองก็คงไม่บ้าระห่ำพอที่จะออกตัวชัดเจนว่า "ข้าจะแย่ง" แต่มันเป็นเพราะ วานด้า เองต่างหากที่บอกให้เขาสบายใจได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมอะไร....เพราะเธอและมักซี่กำลังจะเลิกกันในเร็วๆนี้

แม้จะไม่มีการหย่าร้างอย่างเป็นทางการ แต่นั่นคือสิ่งที่ วานด้า รู้สึกและเก็บเอาไว้ในใจมาโดยตลอด

"ผมไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไร เพราะความสัมพันธ์ระหว่าง วานด้า กับ มักซี่ ได้สิ้นสุดลงเเล้ว"

อิคาร์ดี้ ไม่รู้แบบแน่ชัด 100% ว่า วานด้า พูดเช่นนั้นมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทว่าจากนั้นทุกสิ่งก็ถูกปล่อยไปตามอารมณ์แบบเลยตามเลย

รู้ตัวเองที ชีวิตของทั้งสามคนก็ไม่อาจจะอยู่รวมกันได้อีกต่อไป...

ถึงคราวแตกหัก

หลังจากหมอกแห่งความสับสนจางหายไป ทุกอย่างก็เป็นอันชัดเจนเเล้วว่า วานด้า เลือกที่จะขอลาจาก มักซี่ เพื่อไปใช้ชีวิตคู่กับ อิคาร์ดี้ แทน โดยในปี 2013 ทุกอย่างกระจ่างแจ้งเป็นที่สุดเพราะ วานด้า และ มักซี่ หย่าร้างกันเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว

ณ ช่วงเวลาปี 2013-14 อิคาร์ดี้ ก็เปลี่ยนสถานะจากเด็กหนุ่มกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขากลายเป็นนักเตะตัวหลักของ อินเตอร์ มิลาน มีชื่อเสียงมากขึ้น ก่อนขอแต่งงานกับ วานด้า ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ประเทศ อาร์เจนติน่า และ วานด้า เองก็ทำหน้าที่เป็นคู่คิดที่ดีของเขาด้วยการเป็นเอเย่นต์ส่วนตัวดูแลผลประโยชน์ทั้งหมด

 8

ดูเหมือนว่าทั้ง 2 คนจะเป็นทีมที่เข้าขารู้ใจเป็นอย่างดี  ซึ่งสวนทางกับ มักซี่ ที่ถึงช่วงท้ายอาชีพค้าแข้งเป็นนักเตะขาลงและต้องออกไปค้าแข้งกับทีมในระดับที่เล็กกว่า อินเตอร์ ลงเรื่อยๆ (ปัจจุบันเล่นใน บราซิล กับเกรมิโอ)

สถานะของ อิคาร์ดี้ ในเวลานั้นพร้อมที่จะดูแล วานด้า ได้แล้ว และเหนือสิ่งอื่นใดเขาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง ถึงแม้จะมีเรื่องให้ขุ่นข้องหมองใจกับ มักซี่ แต่เขาก็ยังดูแลลูกๆทั้ง 3 คนของ วานด้า และ มักซี่ เสมือนกับเป็นลูกของเขาเอง อิคาร์ดี้ เอาชื่อ วาเลนติโน่, คอนสเเตนติโน่ และ เบเนติคโต้ สักไว้ที่ต้นแขนของเขา โดยมีรูปคิวปิด 3 ตัวราวกับว่าเด็กๆเหล่านี้ คือสื่อรักระหว่างเขาและวานด้า

"วานด้า ผมรักคุณนะ...ไม่ง่ายเลยที่จะพูดคำที่แทนความรู้สึกนี้" อิคาร์ดี้ อัพรูปรอยสักลงบนอินสตาเเกรมของเขาพร้อมกับข้อความดังกล่าวนี้

อย่างไรก็ตามสำหรับมุมมองของ มักซี่ ผู้เป็นพ่อ เขาแค่รู้สึกว่าลูกๆของเขาควรมีพ่อเพียงคนเดียวก็เพียงพอเเล้ว และแน่นอนเมื่อเขาถูก อิคาร์ดี้ พรากคนรักไป นั่นย่อมทำให้เขาไม่ไว้ใจอดีตน้องรักคนนี้

"ผมเข้าใจได้สำหรับการเป็นบุคคลสาธารณะ เขาสามารถจะโพสต์อะไรก็ได้ แต่ผมไม่สบายใจที่มีลูกๆของผมเข้าไปอยู่ในรูปนั้นด้วย" มักซี่ เผยกับสื่ออย่าง สกายสปอร์ตส์  "ลูกๆคือกำลังใจของผม พวกเขารู้ดีว่าผมจะต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเขาแน่นอนเพราะทั้ง 3 คนคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี"

 9

ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องของที่มาที่ไปของความสัมพันธ์ระหว่างคน 3 คนนี้มากนัก  ดังนั้นการหย่ากับสามี ทั้งๆที่มีลูกด้วยกัน 3 คน ก่อนไปคบกับผู้ชายคนใหม่ที่หนุ่มกว่าและมีชื่อเสียงมากกว่าทำให้ วานด้า กลายเป็นนางมารร้ายตัวเอ้ของโลกใบนี้ "เธอมันนางแพศยา" "งูพิษ" "สวยไร้สมอง" คือข้อความจากโลกโซเชียลที่ วานด้า จะต้องพบเจออยู่เป็นประจำ ขณะที่ อิคาร์ดี้ เองก็กลายเป็นไอ้เด็กเลว เลี้ยงเสียข้าวสุก แย่งได้แม้แต่คนที่เคยให้ความช่วยเหลือ

...โลกเราก็แบบนี้ การตัดสินใจคนอื่นจากมุมมองของตัวเองคือสิ่งที่หลายคนถนัดเสียเหลือเกิน ไม่แปลกนักที่ อิคาร์ดี้ กับ วานด้า จะถูกตีค่าเป็นหญิงร้ายชายเลวไปโดยปริยาย

พลิกสลับกลับหัวท้าย

2 ครั้ง 2 คราที่ มักซี่ กับ อิคาร์ดี้ ต้องดวลกันในสนาม หนแรกคือเกมระหว่าง ซามพ์โดเรีย ปะทะ อินเตอร์ และเกมที่สองเป็นเกมระหว่าง อินเตอร์ กับ โตริโน่ ... ซึ่งนอกจากผลการแข่งขันจะจบด้วยชัยชนะของทัพงูใหญ่เหมือนกันเเล้ว สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างของเกม "วานด้า ดาร์บี้" คือ มักซี่ ปฎิเสธที่จะจับมือกับ อิคาร์ดี้ ทั้งสองหน ...ซึ่งจากเหตุการณ์นี้สายตาคนนอกดูจะสะใจมากที่ อิคาร์ดี้ ไม่ได้รับการอภัย และเชื่อว่าสมควรเเล้วที่เรื่องควรจะเป็นเช่นนี้

 10

อย่างไรก็ตามลองย้อนคิดสักนิดนอกจาก มักซี่ แล้ว อิคาร์ดี้ ได้ทำอะไรเจ็บช้ำน้ำใจหรือไม่?

อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นเขาดูแลลูกติดทั้ง 3 คนอย่างดีที่สุด และนี่ก็ผ่านมาเเล้ว 4 ปี ซึ่งน่าจะพอบอกได้ว่าเขาทำลงไปโดยไม่ได้เสเเสร้ง แม้ว่าตัวของเขากับ วานด้า จะมีลูกสาวเพิ่มอีก 1 คนก็ตาม  

"เพราะความรักคือเรื่องของคนสองคน" ดังนั้นจึงไม่มีใครรับรู้ว่าแท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่าง มักซี่ และ วานด้า เป็นอย่างไร ทุกคนรู้ว่า วานด้า เป็นผู้หญิงหลายใจคบไม่ได้ แต่ไม่เคยรู้ว่าเธอต้องใช้ความอดทนแค่ไหนกับช่วงเวลาที่อยู่กับ มักซี่ ในอดีต

สิ่งที่ออกจากปากวานด้า มีใจความว่าช่วงเวลากับ มักซี่ เป็นช่วงเวลาที่เธอนั้นอยู่ในสถานะ "หวานอมขมกลืน" ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาฮ็อตๆ มักซี่ เองก็เป็นนักเตะมีชื่อเสียงผมสีบลอนด์ยาวสลวย จัดว่าเป็นคนเท่คนหนึ่ง ดังนั้นเรื่องของผู้หญิงและการนอกใจก็เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ วานด้า ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเพราะไม่อยากให้ส่งผลต่อลูกๆทั้ง 3 คน

"มักซี่ โลเปซ เหรอ? เขานอกใจและฉันพยายามที่จะทนกับเรื่องนี้มานาน แต่เราเองก็ไม่ลืมที่จะแคร์ความรู้สึกๆเด็ก ดังนั้นมันจึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องยืนกระต่ายขาเดียวรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้และใจเย็นกับมันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" วานด้า กล่าว

จะแปลกอะไรที่วันหนึ่งผู้หญิงที่ต้องทนอยู่กับความเจ็บช้ำและทนอยู่เพื่อลูกๆ จะเจอกับผู้ชายที่สามารถรับกับสถานะแม่หม้ายลูกติดอย่างเธอได้ อิคาร์ดี้ ที่เข้ามาและแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ดูแลเธอกับลูกๆเป็นอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของพ่อบ้าน ก่อนที่ความดีจะกลั่นจนเป็นความรักในที่สุด

อิคาร์ดี้ เองก็เปิดเผยว่าเขาเองก็เป็นคนที่แมนพอจะทำอะไรลงไป เขาปฎิบัติตัวอยู่ในกรอบ และรอจนถึงวันที่ วานด้า บอกว่า "พอแล้ว" จากความสัมพันธ์กับมักซี่ เขาจึงกล้าทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง เขาไม่อายที่จะบอกว่าเขาตกหลุมรักวานด้า เข้าอย่างจัง แม้ว่าที่สุดแล้วใครจะบอกว่าเขาหักอกรุ่นพี่คนสนิทที่สุดก็ตาม

"ทุกๆคนต่างก็ดูถูก วานด้า โดยที่ไม่รู้ความจริงหลายๆเรื่อง" อิคาร์ดี้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเทศอิตาลี

"ตอนที่ผมเริ่มคุยกับเธอ ผมมีเพื่อนร่วมทีมที่เป็นรุ่นพี่อย่าง ดิเอโก้ มิลิโต้, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, เอสเตบัน คัมบิอัสโซ่ และ วอลเตอร์ ซามูเอล ทุกๆคนรู้เรื่องนี้หมด เพราะผมก็คุยกับพวกเขาอย่างเปิดใจ"

“ผมเป็นเพื่อนของทั้ง มักซี่ และ วานด้า มันเป็นเรื่องปกติมากที่เราจะพูดคุยกัน จนกระทั่งถึงวันที่ทั้งสองคนเลิกกัน ผมและวานด้าจึงได้เริ่มคุยและศึกษากันมากขึ้น"

"ผมขอใช้คำว่า ผมตกหลุมรักเข้าอย่างจัง มันคือบางอารมณ์ที่คุณต้องตัดสินด้วยเหุตผลในใจของตัวเอง"

 11

"โอเคล่ะ มักซี่ เป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีของผมที่ซามพ์โดเรีย แต่เขาไม่ใช่เพื่อนซี้ที่ดีที่สุดหรอกนะ" เขาทิ้งท้าย

เรื่องทุกอย่างก็ขึ้นอยูกับมุมมองของแต่ละคน ต่างกรรมต่างวาระ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ลองคิดดูเล่นๆหาก วานด้า ยังทนคบกับ มักซี่ ต่อไปปัญหาเล็กๆก็อาจจะลุกลามใหญ่โตได้ และผลกระทบก็จะส่งผลถึงลูกๆของเธอเอง

ณ วันนี้ที่ วานด้า, อิคาร์ดี้ และลูกๆของเธอและเขาต่างก็มีความสุข....มีเพียง มักซี่ เท่านั้นที่เป็นผู้แพ้สำหรับเรื่องนี้ แต่ว่าเขาแพ้เพราะอะไรล่ะ? เรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนหรอกว่าเพราะอะไร

แต่ที่แน่ๆ ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ย้อนกลับมาไม่ได้นั่นคือ "เวลา, คำพูด และโอกาส"  เรื่องนี้ มักซี่ โลเปซ คงเข้าใจมันอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว

 12

แม้จะโหดร้ายแต่สุดท้ายเขาก็ได้เรียนรู้และใช้เวลาที่เหลือทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้เท่านั้นเอง

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ เรื่องรัก 3 เส้าของ มักซี่, อิคาร์ดี้ และ วานด้า.. ที่ไม่มีทั้งพระเอกและผู้ร้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook