ทำไมแมนยู ถึงไม่อยากเห็น ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก?

เหตุเกิดที่ท่าเรือ : ทำไมแมนฯ ยู ไม่อยากเห็น ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก?

เหตุเกิดที่ท่าเรือ : ทำไมแมนฯ ยู ไม่อยากเห็น ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ต่อให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะเรา 8-0 ผมก็ไม่แคร์ ถ้ามันทำให้ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์ลีก ผมเกลียดที่จะพูดคำนี้ แต่คืนนี้ผมเชียร์แมนเชสเตอร์ ซิตี้”

คำประกาศกร้าวของแฟนบอลทัพปีศาจแดงรายหนึ่ง ที่กล่าวไว้ก่อนเกมการแข่งขันแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งผลจบลงด้วยชัยชนะของฝั่งสีฟ้า ตามที่ชายคนนี้ต้องการ

เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก สำหรับแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ดทั่วโลก ที่ต้องทนเห็น สองทีมคู่ปรับ อย่าง ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นมาล่าแชมป์พรีเมียร์ ลีกในฤดูกาล 2018/19

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ แฟนบอลทีมปีศาจแดงท้องถิ่น ที่เมืองแมนเชสเตอร์ คงมีเพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น ที่พวกเขาไม่อยากให้จบฤดูกาล ในฐานะอันดับ 1 ของตาราง คว้าเอาถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดของแดนผู้ดีไปนอนกอด

ทีมนั้นคือ “ลิเวอร์พูล”  ต้นตอของความเกลียดชังระหว่างแมนเชสเตอร์กับลิเวอร์พูลเริ่มจากจุดไหน ? อะไรคือเหตุผลที่ สาวกปีศาจแดง ในเมืองแมนเชสเตอร์ ยอมทนเห็นอริร่วมเมือง ชูถ้วยแชมป์ ดีกว่าอีกทีมฟุตบอลที่อยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร

วันวานที่เคยหวาน

ก่อนจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตแบบทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งความสัมพันธ์ ระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ เคยเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรข้างกาย ที่คอยเกื้อหนุนกันมาในอดีต


Photo : reddit.com

ย้อนไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เกิดเหตุการณ์สำคัญของโลก ได้แก่ การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)  โดยมี ประเทศอังกฤษ เป็นจุดเริ่มต้นและศูนย์กลางของการปฏิวัติ

“แมนเชสเตอร์” กลายเป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญ และนับเป็น ศูนย์กลางของการผลิตผ้าฝ้าย สินค้าสำคัญที่สร้างรายได้มหาศาล ในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19

นับตั้งแต่การกำเนิด เครื่องปั่นผ้าฝ้ายเครื่องแรกของโลก ในปี 1781 เมืองแมนเชสเตอร์ ก็ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมโรงงาน รวมถึงเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ไปทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของเมืองแมนเชสเตอร์ ในเวลานั้น อยู่ตรงที่การขนส่ง พวกเขาไม่มีท่าเทียบเรือสำหรับส่งออกสินค้าไปขายยังต่างแดน เนื่องจากแต่เดิม แมนเชสเตอร์ เป็นเมืองด้านเกษตรกรรม ไม่ใช่เมืองค้าขาย ที่สำคัญเมืองนี้ไม่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลตามธรรมชาติเลย

ดังนั้น เมืองแมนเชสเตอร์ จึงมองหาคนที่จะมาเป็นพ่อค้าคนกลาง ที่จะนำสินค้าของเมืองไปส่งต่อเพื่อนำรายได้กลับมายังแมนเชสเตอร์

และพระเอกขี่ม้าขาวของพวกเขาคือ “ลิเวอร์พูล” เมืองท่าขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดไปทางตะวันตกประมาณ 50 กิโลเมตร


Photo : otterson.org

สำหรับลิเวอร์พูล นี่คือเมืองท่าที่ใหญ่สุด แห่งหนึ่งของอังกฤษและทวีปยุโรป “เมืองลิเวอร์พูล” จึงได้ทำหน้าเป็นสื่อกลางในการค้าขายมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17

เมืองลิเวอร์พูล เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นว่าได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอังกฤษ เป็นรองเพียงแค่กรุงลอนดอนเท่านั้น เมืองแมนเชสเตอร์ จึงต้องพึ่งพาบุญบารมีพี่ใหญ่แห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือ อย่าง ลิเวอร์พูล ซึ่งการร่วมมือกันของทั้งสองเมือง ได้ก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายอย่างมาก

สำหรับแมนเชสเตอร์ ผู้คนทั่วอังกฤษหลั่งไหลเข้าสู่เมือง จากการเปิดตัวของโรงงานผลิตผ้าฝ้ายจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของผ้าฝ้ายที่ใช้ในโลกถูกส่งออกจากแมนเชสเตอร์

ขณะที่ลิเวอร์พูล กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในฐานะเมืองที่คอยส่งออกผ้าฝ้ายจากแมนเชสเตอร์ ถึงขั้นว่าในปี 1830 ได้มีการเปิดรางรถไฟเดินทางระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ เพื่อใช้เป็นเส้นทางส่งของระหว่างทั้งสองเมือง ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกของการสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างเมือง

ทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ต่างเติบโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะว่าผ้าฝ้ายที่ถูกผลิตโดยแมนเชสเตอร์ ล้วนต้องถูกส่งออกโดยลิเวอร์พูล ทั้งสองเมืองเติบโตอย่างมากในแง่ของเศรษฐกิจ รวมถึงสังคม

เหนือสิ่งอื่นใด ความสัมพันธ์ของสองเมือง ยังมีบทบาทสำคัญ ตลอดช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม อันเป็นรากฐานของโลกสมัยใหม่แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

จากมิตรแท้ สู่ศัตรูถาวร?

แต่ว่ากันว่าความสัมพันธ์ทางธุรกิจนั้นไม่จีรังยั่งยืนเสมอไป ? ในกรณีของลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ก็เช่นเดียวกัน แม้พวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตลอดช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่วันหนึ่งมิตรภาพของพวกเขาได้ถึงคราวจบลง ด้วยความบาดหมางทางธุรกิจ


Photo : albertdock.com

ในปี 1870 ความขัดแย้งระหว่างสองเมืองเริ่มปะทุเป็นครั้งแรก เมื่อแมนเชสเตอร์รู้สึกว่าพ่อค้าคนกลาง อย่างลิเวอร์พูล ขูดเลือดขูดเนื้อ เอากำไรจากพวกเขามากเกินไป ในมุมมองของผู้ผลิตอย่างแมนเชสเตอร์ จึงมองว่าไม่สมเหตุสมผลเสียเลย สำหรับ ลิเวอร์พูล ที่ทำหน้าที่แค่ส่งออกสินค้าของพวกเขาเท่านั้น

นอกจากนี้คนเเมนเชสเตอร์ยังเห็นว่า คนลิเวอร์พูลทำงานได้ไม่เต็มที่กับส่วนแบ่งรายได้ที่พวกเขาต้องเสียไป สินค้าผ้าฝ้ายมากมายถูกผลิตและรอส่งออกจากแมนเชสเตอร์ แต่ลิเวอร์พูลกลับส่งออกสินค้าของพวกเขาอย่างล่าช้า ไม่ทันการผลิตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่มีสิ่งใดบอกแน่ชัดว่า สิ่งที่คนแมนเชสเตอร์รู้สึกต่อคนลิเวอร์พูลเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วพวกเขาแค่หาข้ออ้างไม่อยากแบ่งกำไรให้เมืองลิเวอร์พูลเท่านั้น

เพราะในตอนนั้นเมืองแมนเชสเตอร์พัฒนาอย่างมาก ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมเบอร์ต้นๆของโลก ความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองดีขึ้น จนเปลี่ยนเมืองแมนเชสเตอร์จากอดีตเมืองเกษตรกรรมเล็กๆให้กลายเป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมอันงดงาม กลายเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ลิเวอร์พูล

ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร แต่ในปี 1875 แมนเชสเตอร์ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับลิเวอร์พูล และส่งสินค้าพวกเขาไปขายที่เมืองฮัลล์แทน โดยทางแมนเชสเตอร์ให้เหตุผลว่าฮัลล์หักกำไรในการค้าน้อยกว่าลิเวอร์พูล

ทั้งที่ฮัลล์อยู่ทางภาคตะวันออกคนละฝั่งกับแมนเชสเตอร์ และมีระยะทางห่างกันถึง 129 กิโลเมตร มากกว่าระยะทางจากแมนเชสเตอร์ไปลิเวอร์พูลถึงเกือบ 80 กิโลเมตร

แค่การที่แมนเชสเตอร์เลิกใช้บริการท่าเรือจากลิเวอร์พูล ก็ทำให้ชาวเมืองย่านเมอร์ซีย์ไซด์ ปวดร้าวพออยู่แล้ว แต่อดีตเพื่อนรักของพวกเขาได้ทำในสิ่งที่ชาวเมืองลิเวอร์พูลไม่อาจให้อภัยเมืองแมนเชสเตอร์อีกต่อไป นั่นคือ คลองเดินเรือสมุทรแมนเชสเตอร์ (Manchester Ship Canal)


Photo : www.historic-uk.com

เพราะต่อให้ส่งสินค้าไปขายที่ฮัลล์ ระยะทางระหว่างทั้งสองเมืองถือว่าไกลเกินไป ทำให้ชาวเมืองแมนเชสเตอร์คิดจะทำสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ในช่วงศตวรรษที่ 19 คือขุดคลองค้าขายขึ้นมาเอง

ในตอนแรกที่แมนเชสเตอร์จะขุดคลอง พวกเขาได้ไปขอความร่วมมือจากทางลิเวอร์พูล โดยหวังจะขุดคลองไปบรรจบที่ท่าเรือลิเวอร์พูล แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี

แม้จะโดนอดีตเพื่อนเก่าปฏิเสธ กระนั้นแมนเชสเตอร์ยังคงเดินหน้าขุดคลองของตัวเองต่อไปในปี 1887 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1893 ด้วยระยะทาง 64 กิโลเมตร เป็นคลองเดินเรือที่ยาวที่สุดในโลก ณ เวลานั้น รวมไปถึงการเกิดท่าเรือของแมนเชสเตอร์ขึ้นอีกด้วย

การเกิดของคลองเดินเรือสมุทรแมนเชสเตอร์ คือบาดแผลที่ทำร้ายเมืองลิเวอร์พูลอย่างร้ายกาจ เมืองแมนเชสเตอร์ กลายเป็นศูนย์กลางทั้งการค้าและการผลิต และก้าวขึ้นเป็นเมืองอันดับสองของอังกฤษอย่างเต็มตัว


Photo : www.francisfrith.com

ในทางกลับกัน ลิเวอร์พูล ที่เคยเปิดรับแรงงานผลัดถิ่นจำนวนมากเข้าสู่เมือง การเสียความเป็นฐานเมืองท่าไป ชาวเมืองลิเวอร์พูลจำนวนมากเสียงาน หลังการเกิดคลองสมุทรแมนเชสเตอร์ เศรษฐกิจในเมืองตกต่ำลงอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของความเกลียดชังเกิดขึ้น โดยคลองขุดเดินเรือเพียงเส้นเดียว หลังจากนั้น คนทั้งสองเมืองได้ตั้งตัวเป็นคู่ปรับ ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อกันและกันไปตลอดกาล

แย่งชิงความเป็นหนึ่ง

แม้ว่ายุคทองของการค้า อันเป็นผลพวง จากการปฏิวัติอุตสาหกรรม จะเริ่มสิ้นสุด ในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่ความรุ่งโรจน์ตลอดศตวรรษที่ 19 ได้ปลูกฝังความยิ่งใหญ่ และความภูมิใจในเมืองของตัวเอง ให้กับทั้งชาวแมนเชสเตอร์และชาวลิเวอร์พูล


Photo : www.gmts.co.uk

คนทั้งสองเมือง เชื่อสุดใจว่าเมืองของพวกเขา คือ เมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่สุดของอังกฤษ รวมถึงเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศอังกฤษ

ชาวลิเวอร์พูล ภูมิใจเสมอกับการที่เมืองนี้เคยเป็นเมืองท่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ขณะที่แมนเชสเตอร์ ในฐานะเมืองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ความภูมิใจนี้จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดกาล ในฐานะสุดยอดเมืองของนักประดิษฐ์ ถึงขั้นมีคำกล่าวว่า “สิ่งที่แมนเชสเตอร์คิดได้ในวันนี้ โลกทั้งใบจะคิดได้ในวันต่อมา”

“ผมคิดว่าทั้งสองเมืองมีความคล้ายกันอยู่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มใจที่จะเกลียดชังซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่องของการแข่งขันระหว่างทั้งสองเมือง และความเกลียดชังนี้ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนทั้งสองเมืองไปแล้ว”

สตีเวน สแกรก (Steven Scragg) นักเขียนชาวลิเวอร์พูล ให้นิยามความเกลียดชังของสองเมืองว่า มาจากการพยายามชิงดีชิงเด่นกันในทุกด้าน จนกลายเป็นความเกลียดชังที่ฝั่งรากลึก จนยากจะถอนออกมาจากจิตใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ชาวเมืองทั้งสองเมืองต้องมองหาหนทางใหม่ ที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า เมืองของตัวเองยอดเยี่ยมกว่าเมืองคู่ปรับ หลังสิ้นสุดยุคทองของการค้าเดินเรือสมุทร

และไม่มีสิ่งใดจะเป็นคำตอบให้กับชาวลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ได้มากไปกว่ากีฬาอันดับหนึ่งของชนชาติผู้ดี อย่างกีฬาฟุตบอล

“ถ้าคุณอยากรู้ว่าถึงความสัมพันธ์ของคนว่าในใจลึกๆพวกเขารู้สึกต่อกันอย่างไร จับพวกเขาเชียร์ทีมตรงข้ามกัน ในสนามฟุตบอลแล้วคุณจะรู้ความจริง”

คำกล่าวของอุทกราช โกคลานี (Utkarsh Goklani) นักวิเคราะห์ฟุตบอลผู้เป็นแฟนบอลของสโมสรลิเวอร์พูล ให้ภาพสะท้อนว่า เหตุใดชาวเเมนเชสเตอร์ และ ลิเวอร์พูล ต้องเลือกเกมกีฬาหวดลูกหนัง เป็นพื้นที่ของการแข่งขันระหว่างทั้งสองเมือง เพราะสนามฟุตบอลเปิดโอกาส ให้พวกเขา ได้แสดงความจงเกลียดจงชัง ออกมาได้อย่างเต็มที่

ความเป็นคู่ปรับของทั้งสองเมือง เริ่มต้นในช่วงปี 1950 โดยตลอดช่วงยุค 50-60’s ความรุนแรงทั้งในและนอกสนามเกิดขึ้นในแทบทุกครั้งที่ทีมจากแมนเชสเตอร์พบกับทีมจากลิเวอร์พูล โดยเฉพาะลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นทีมแถวหน้าของเกาะอังกฤษ ในช่วงยุค 60’s


Photo : www.dailymail.co.uk

เกมการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมเต็มไปด้วยการเข้าปะทะที่โหดเกินความจำเป็น รวมไปถึงการวิวาทระหว่างแฟนบอลของทั้งสองฝั่ง และดาร์บี้แมตช์แดงเดือดเริ่มต้นปะทุถึงจุดเดือดในเวลานั้น

แม้ว่าในช่วงยุค 70-80’s ความเป็นดาร์บี้แมตช์ระหว่างทั้งสองเมือง ความระอุของอารมณ์จะลดน้อยถอยลง ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงของทั้งสองเมือง ทำให้ลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์หันมาจับมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันชั่วคราว

แต่การที่แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึงแฟนแมนฯ ซิตี้ ต้องทนดูความสำเร็จของสองสโมสรจากเมืองลิเวอร์พูล อย่าง ลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ตลอดช่วงยุค 70-80’s ความคับแค้นสุมอยู่ในใจชาวแมนเชสเตอร์ แต่กลับไม่สามารถระบายออกมาได้ เพราะกำลังอยู่ในช่วงญาติดีกับอดีตเพื่อนรักจากเมอร์ซีย์ไซด์ ซึ่งไปได้ดีเกินหน้าเกินตาพวกเขาไปมากบนเวทีลูกหนัง

กระทั่งชายผู้ทระนงจากสก็อตแลนด์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 ประโยคเดียวที่ออกจากปาก ชายที่ชื่ออเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Alex Ferguson) ทำให้ความเกลียดชังระหว่างสองสโมสรกลับปะทุถึงจุดเดือดอีกครั้ง และไม่มีวี่แววจะลดน้อยถอยลงอีกเลยจนถึงปัจจุบัน


Photo : www.memecenter.com

เพราะเฟอร์กูสันได้พูดประโยคหนึ่ง ที่แทนความในใจของชาวแมนเชสเตอร์ได้เป็นอย่างดี “ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมยังไม่เกิดขึ้นในเวลานี้หรอก เพราะความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม คือการเขี่ยลิเวอร์พูลลงจากบัลลังก์ของพวกเขาซะ คุณจดคำพูดของผมเอาไว้ได้เลย”

สิ่งที่เฟอร์กูสันพูดเอาไว้ แซม แม็คไกวร์ (Sam Maguire) นักข่าวฟุตบอลประสบการณ์สูงได้ให้คำนิยามไว้ดังนี้

“ความสัมพันธ์ของพวกเขา แย่ลงไปเยอะมาก หลังจากเฟอร์กูสันพูดประโยคนี้ จากที่พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์ในทางที่ดีขึ้น แต่ในตอนนี้แค่พูดชื่อซึ่งกันและกัน พวกเขาก็อยากจะอ้วกกันออกมาแล้ว ความเกลียดชังถูกฝังลึกไว้จนถึงปัจจุบัน”

You Will Never Win A League?

โลกฟุตบอลหมุนเลยมายาวนานกว่า 30 ปี หลังจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวประโยคในตำนานของเขาเอาไว้ แต่ความดุเดือดและความเกลียดชังระหว่างทั้งสองทีมยังไม่เคยจางหายไปไหน


Photo : www.mirror.co.uk

เรื่องหนึ่งที่ แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ใช้ข่มทีมคู่อริได้ตลอดมา คือ การที่ สโมสรลิเวอร์พูล ไม่เคยชนะลีกสูงสุดนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเป็น พรีเมียร์ ลีก ในขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด กวาดถ้วยใบนี้มาครอบครองได้เป็นว่าเล่น

แต่ยุคสมัยในโลกฟุตบอล ล้วนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หลังจาก ยอดโค้ชชาวสก็อตอำลาถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ผลงานของทัพปีศาจแดง ตกลงอย่างน่าใจหาย แถมยังสูญเสียความเป็นเบอร์หนึ่งของวงการลูกหนังอังกฤษ ให้กับเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ (ในความคิดของแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด) อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้

กระทั่งในฤดูกาลนี้ ฝันร้ายที่สุดของแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ได้มาถึง เมื่อสองทีมที่พวกเขาเกลียดชังอย่างลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือสองทีมสุดท้ายที่มีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก

ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจในวงการฟุตบอลอังกฤษ ถึงขั้นว่า เดอะ การ์เดียน (The Guardian) สื่อชื่อดังของแดนผู้ดี ลงพื้นที่ไปถามแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด หลายคนว่า พวกเขาอยากเห็นทีมไหนเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ในฤดูกาลนี้ และคำตอบล้วนไปในทิศทางเดียวกัน

“ผมยอมรับนะว่าผมไม่อยากเห็นแมนฯ ซิตี้ป้องกันแชมป์ได้ แต่การเห็นลิเวอร์พูลได้แชมป์คงเป็นอะไรที่สยดสยองเกินไปสำหรับผม”

“ผมอยากเห็นแมนฯ ซิตี้เป็นแชมป์มากกว่าลิเวอร์พูล ผมยอมเห็นแมนฯ ซิตี้ได้ทริปเปิลแชมป์ดีกว่า จะเห็นลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกหรือได้ดับเบิลแชมป์เสียอีก”

“แน่นอนผมต้องอยากเห็นซิตี้เป็นแชมป์ มากกว่าเห็นพวกสเกาซ์ (ชาวเมืองลิเวอร์พูล) ได้แชมป์ หากลิเวอร์พูลได้แชมป์ ฤดูร้อนนี้ของผมคงจบลงทันที มันปวดร้าวมากเกินไปสำหรับเรา”


Photo : www.zimbio.com

ด้านไคล์ วอล์คเกอร์ (Kyle Walker) นักเตะของแมนฯ ซิตี้ บอกเล่าถึงความจริงสุดแสนประหลาด ที่ว่าคนในเมืองแมนเชสเตอร์ต่างใจเป็นหนึ่ง อยากเห็นทัพเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์ในปีนี้ ไม่ใช่ทีมจากเมืองลิเวอร์พูล

“ทุกวันที่ผมออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ผมเจอแฟนยูไนเต็ดที่เดินเข้ามาบอกผมเสมอว่า ‘เราหวังให้แมนฯ ซิตี้เป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้มากกว่าลิเวอร์พูลนะ’ ผมยอมรับว่ามันรู้แปลกนิดหน่อย ที่ได้ยินอะไรแบบนี้”

ไม่ใช่เรื่องปกตินัก หากเกมที่ฟุตบอลข้ามเมือง ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีความดุเดือดและศักดิ์ศรี ยิ่งกว่าการพบกันกับคู่ปรับร่วมเมือง ไม่เพียงเท่านั้น เป็นเกมดาร์บี้ระหว่างสองทีมนี้ ยังเป็นเกมดาร์บี้ ที่มีระยะทางของสนาม ห่างกันมากสุดเป็นอันดับ 2 อังกฤษ

ระยะทาง จึงไม่ใช่สิ่งที่จะมาวัดถึงดีกรีของความเกลียดชัง สิ่งที่ถูกบ่มเพาะเป็นเวลายาวนานกว่าร้อยปีระหว่างคนทั้งสองเมือง นั่นทำให้ แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถที่จะเลือกไปเชียร์ทีมฟุตบอลจากเมืองลิเวอร์พูลได้ และยอมที่จะให้การสนับสนุนทีมคู่ปรับร่วมเมือง แบบชั่วคราวเสียดีกว่า


Photo : www.sportskeeda.com

“แน่นอนว่าดาร์บี้แมตช์ท้องถิ่นนั้นมีความหมาย แต่ว่ามันเป็นแค่การชิงความเป็นเบอร์หนึ่งในท้องถิ่น สำหรับแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ความเกลียดชังที่พวกเขามีให้ลิเวอร์พูล มันคือความเกลียดชังที่มาจากเบื้องลึกของหัวใจ ความเกลียดชังที่แท้จริง ไม่ต้องการเหตุผลอะไรมารองรับ”

“ผมบอกเลยว่าดาร์บี้แมตช์ระหว่างทั้งสองทีมนี้ มันเลยเถิดไปไกลกว่าที่ควรจะเป็นเยอะ การร้องเพลงล้อเลียนเรื่องโศกนาฏกรรมที่มิวนิค ความรุนแรงมากมายระหว่างแฟนบอลทั้งสองทีม ทุกครั้งที่ทั้งสองทีมเจอกัน ผมสัมผัสได้แต่ความเกลียดชังลอยฟุ้งอยู่เต็มอากาศไปหมด” จอห์น ลัดเดน (John Ludden) ผู้เชี่ยวชาญกีฬาฟุตบอลในเมืองแมนเชสเตอร์กล่าว

ความเกลียดชังจากฝั่งสีฟ้า  

นี่เป็นภาพที่ชัดเจนว่า แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องพบกับฝันร้ายระดับไหน หากลิเวอร์พูลเข้าวินคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในฤดูกาลนี้

ในทางกลับกันฝั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ปรับโดยตรงในโลกฟุตบอลกับลิเวอร์พูล เหมือนอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด  แฟนบอลของพวกเขารู้สึกอย่างไร ที่ได้เป็นความหวังสุดท้ายของเมือง ในการขัดขวางไม่ทีมเครื่องจักรสีแดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก เป็นสมัยแรก


Photo : en.as.com

“แฟนบอลลิเวอร์พูลรู้ดีว่าถ้าพวกเราขึ้นนำพวกเขาแล้วมันยากที่จะไล่ตามเราทัน พวกเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ ถ้าเล่นได้ดีขนาดนี้ แต่แมนฯ ซิตี้ ยังเป็นแชมป์”

“คงจะมีความวุ่นวายขึ้นแน่ ถ้าหากเราได้แชมป์ ตำรวจที่ลิเวอร์พูลคงลำบากหน่อยนะ ในการจัดการพวกสเกาซ์ให้สงบสติอารมณ์”

โนล กัลลาเกอร์ (Noel Gallagher) ยอดศิลปินที่สร้างชื่อจากวง Oasis ซึ่งเป็นแฟนบอลตัวยงของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อดไม่ได้ที่จะเสียดสีและเย้ยหยันทีมดังจากเมืองลิเวอร์พูล

ซึ่งพ่อหนุ่มปากตะไกรคนนี้คือตัวอย่างชั้นเลิศ ที่จะแสดงให้เห็นภาพว่าแฟนบอลทีมเรือใบสีฟ้าเกลียดชังทัพหงส์แดงมากเพียงใด เพราะเขาได้ปล่อยวิวาทะเด็ดๆมากมาย ที่เหน็บแนมทีมแชมป์ยุโรป 5 สมัยจากเกาะอังกฤษอย่างเจ็บแสบ

“พวกแฟนลิเวอร์พูลเป็นพวกประหลาด พวกเขาชอบแสดงความรู้สึกที่มันเวอร์เกินความเป็นจริง พวกเขาคิดว่าใครๆก็รักพวกเขา ซึ่งผมบอกเลยว่ามันไม่จริงสักเท่าไหร่”

“ผมมีเพื่อน 3 คนที่ทัวร์คอนเสิร์ตกับผมเป็นแฟนลิเวอร์พูล มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากที่ได้เห็นพวกเขาใจสลายตอนแพ้นัดชิงแชมเปียนส์ ลีก ผมสัมผัสได้ว่าแฟนลิเวอร์พูลบางคนกำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตาผมเลย”

“ผมคิดว่าการที่ผมเห็นลิเวอร์พูลแพ้ในนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก มันทำให้ผมมีความสุขมากกว่าแมนฯ ซิตี้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยซ้ำไป”


Photo : soccer.nbcsports.com

แม้กระทั่งน้องชายตัวแสบของโนล อย่างเลียม กัลลาเกอร์ (Liam Gallagher) ซึ่งเป็นแฟนบอลของแมนฯ ซิตี้แบบเต็มขั้นไม่แพ้พี่ชาย ได้ร่วมวงล้อเลียนลิเวอร์พูล หลังทีมรักของเขาเอาชนะทัพหงส์แดงเมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา

“เฮฟวี เมทัล ฟุตบอล ห่วยแตกเหมือนที่เคยเป็นมา” เลียม โพสต์ข้อความสั้นๆ ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขา ที่เหน็บแหนมโดยตรงไปยังสไตล์การทำทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล

สำหรับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาอาจไม่ได้เกลียดสโมสรลิเวอร์พูล เท่ากับฝั่งยูไนเต็ด ในแง่ของฟุตบอล แต่หากเป็นในฐานะของคนเมืองแมนเชสเตอร์  ระดับของความเกลียดชังจากฝั่งสีฟ้าถือว่าไม่ได้แตกต่างจากเพื่อนร่วมเมืองสีแดงแม้แต่น้อย

“ตอนนี้แมนเชสเตอร์เหมือนร่วมกันเป็นทีมเดียวแล้ว เป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยูไนเต็ด ผมบอกเลยว่าเมืองทั้งเมืองให้การสนับสนุน เป็ป กวาดิโอลาร์ (Pep Guardiola) ให้คว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้”

“1 ใน 5 ของแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ดที่เราไปเก็บข้อมูล ยอมเห็นทีมตกชั้น มากกว่าลิเวอร์พูลเป็นเเชมป์เสียด้วยซ้ำ”


Photo : www.mirror.co.uk

แพดดี พาวเวอร์ เว็บพนันชื่อดังของอังกฤษ เปิดเผยข้อความดังกล่าว พร้อมผลสำรวจว่า แฟนบอลทั้ง 20 ทีมในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ว่าอยากเห็นทีมใดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ระหว่างแมนฯ ซิตี้กับลิเวอร์พูล ?

แน่นอนว่าแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ คือกลุ่มแฟนบอลที่โหวตเข้ามามาที่สุดว่าอยากเห็นทีมเรือใบสีฟ้าเป็นแชมป์ ขณะที่แฟนแมนฯ ยูไนเต็ดกว่า 67 เปอร์เซ็นต์ เลือกว่าอยากเห็นทีมคู่ปรับร่วมเมืองเป็นแชมป์ แทนที่จะเป็นลิเวอร์พูล ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 จากทั้งหมด 20 ทีม

ในขณะที่แฟนบอลจากแมนเชสเตอร์ทั้งสองทีมเทใจอยากเห็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้ ทว่าแฟนบอลอีกกว่า 15 สโมสรล้วนร่วมใจกันโหวตเลือกว่าอยากเห็นลิเวอร์พูลปลดล็อคฝันร้าย คว้าแชมป์ลีกในปีนี้

แต่สำหรับชาวเมืองแมนเชสเตอร์ พวกเขาไม่สนว่าคนทั้งประเทศจะคิดอย่างไร สิ่งที่พวกเขาต้องการคือพวกเขาไม่ต้องการเห็นลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จ


Photo : www.football365.com

ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอลของทีมสีฟ้าหรือทีมสีแดง แต่พวกเขายินดีที่จะเห็นทีมคู่ปรับร่วมเมืองเถลิงบัลลังก์แชมป์  มากกว่าจะต้องมองดู ลิเวอร์พูล หรือเอฟเวอร์ตัน ประสบความสำเร็จบนเส้นทางลูกหนัง

เพราะการเห็นเมืองคู่แข่งที่ชาวแมนเชสเตอร์ เชื่อสุดใจมาโดยตลอด ว่าพวกเขาเหนือกว่า และดีกว่า อาจหมายถึงจุดจบ ความภูมิใจที่ชาวแมนเชสเตอร์ ถือครองอยู่เพียงฝ่ายเดียว มาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี และนั่นเป็นความเจ็บปวดที่อยากจะเกินรับไหวของแฟนบอลชาวแมนเชสเตอร์ทุกคน

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook