"กาเยโก" สิงห์สิบล้อค่าตัว 200 ล้านบาทที่เริ่มเป็นนักฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 32 ปี

"กาเยโก" สิงห์สิบล้อค่าตัว 200 ล้านบาทที่เริ่มเป็นนักฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 32 ปี

"กาเยโก" สิงห์สิบล้อค่าตัว 200 ล้านบาทที่เริ่มเป็นนักฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 32 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การเปิดตัวนักเตะใหม่ของทีมอย่าง เกตาเฟ่ อยู่ในความสนใจของคุณหรือเปล่า?...

ต้องยอมรับกันตามตรงว่าข่าวสารจากทีมเล็กๆ ทีมนี้ไม่ได้มีหลักใหญ่ใจความในโลกของฟุตบอลมาก นักเตะของที่จะโด่งดังมีชื่อเสียงก็ต่อเมื่อได้ลงสนามและทำผลงานยอดเยี่ยม หรือไม่ก็ยิงประตูใส่ยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด โน่นแหละ

 

อย่างไรก็ตาม นักเตะทุกคนย่อมมีเรื่องราวของตัวเอง และสำหรับนักเตะป้ายแดงเจ้าของค่าตัว 5 ล้านปอนด์ (200 ล้านบาท) จากทีม เกตาเฟ่ อย่าง เอ็นริค กาเยโก มีเรื่องราวความเป็นมาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ในวัย 32 ปี เขาพูดถึงอาชีพตัวเองในเวลานี้ว่าเป็นสิ่งที่ "ไม่เคยคิดฝัน" แต่สุดท้ายเขาก็ทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่

เอ็นริค จอมกระหายเลือด 

เอ็นริค เป็นเด็กจากครอบครัวระดับชั้นล่างในเมืองบาร์เซโลน่า บ้านของเขาอยู่ในนิคมโรงงานและไม่ไกลนักจากสนาม คัมป์ นู... ดังนั้นแล้วแน่นอนที่สุดสิ่งที่เขาฝันคงหนีไม่พ้นการเป็นนักฟุตบอล เพียงแต่ความจริงกลับตรงกันข้ามเพราะเขาต้องเติบโตมาพร้อมกับภาระการเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ เขาจึงทำงานรับจ้างมาตั้งแต่เด็ก ส่วนฝันในการเข้าทีมเยาวชนบาร์เซโลน่า และได้ฝึกในลา มาเซีย น่ะหรือ? ลืมไปได้เลย

 1

ทุกสายตาจับจ้องมาที่นักฟุตบอลระดับลีกสูงสุดที่ทำเงินได้มากมายไปพร้อมๆ กับการทำในสิ่งที่รัก มันดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่ายสะดวกไปเสียทุกอย่างหากไปถึงจุดนั้น ซึ่งตัวของ เอ็นริค ยอมรับว่ามุมมองของเขานั้นตรงข้ามกับคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง สำหรับเขาแล้วแค่ได้เล่นฟุตบอลสนุกๆ สักเกม ยังเป็นเรื่องยาก...

"ชีวิตนักฟุตบอลคือภาพมายาคติที่เด็กๆ ทุกคนหลงใหล แต่จริงๆ แล้วชีวิตนักฟุตบอลอาชีพมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่ใครมองเสมอไปหรอก คุณอาจจะเห็นคนอื่นทำได้เยอะแยะ แต่อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เจอกับคำว่าง่ายในชีวิตเลย" กองหน้าวัย 32 ปี ผู้มีค่าตัว 5 ล้านปอนด์เล่าย้อนหลังถึงมุมมองของเขา 

เขามีเหตุผลที่ต้องมองโลกในแง่ลบแบบนั้น เพราะเขาเห็นและสัมผัสความจริงมาแล้ว... เริ่มแรกเดิมทีเขาก็เตะฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นที่มีบาทหลวงประจำโบสถ์เป็นคนตั้งทีมให้ เขาเป็นเด็กที่เก่ง แต่ก็ต้องทำหลายๆ สิ่งไปพร้อมกันกับเตะฟุตบอล การลุยงานเหมือนผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควรทำให้เขามีความคิดที่โตกว่า ดุดันกว่า และเอาจริงเอาจังมากกว่าเด็กทั่วไป ซึ่งข้อเสียของสิ่งที่เขาเป็น คือมันทำให้เขาเป็นเด็กที่ใจร้อนและมักจะมีเรื่องมีราวกับคู่แข่งเสมอมา

เอ็นริค โดนใบแดงไล่ออกประจำ และยังชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาทด้วย ว่าง่ายๆ เขาคือตัวปัญหา และตอนอายุ 18 ปี เขาก็ถูก "แบน" ไม่ให้มาซ้อมและเตะฟุตบอลที่สนามของทีมท้องถิ่นที่ชื่อว่า "บาดาโลน่า"

การโดนแบนจากกลุ่มไม่ได้ทำให้ เอ็นริค รู้สึกหวาดวิตกอะไรนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ต้องเรียนรู้ชีวิตในส่วนของการโตแบบผู้ใหญ่ นั่นคือการทำงานหาเงิน เพื่อเป็น 1 ในกำลังเสริมของครอบครัว ส่วนเรื่องของฟุตบอลนั้นเขาไม่ได้หวังว่าจะมีทีมรองรับเหมือนที่เคยฝัน ซึ่งในช่วงวัยรุ่นเขาขอแค่เตะสนุกๆกับเพื่อนก็พอแล้ว

"ผมก็ขอแค่เล่นกับเพื่อนแบบสนุกๆ เท่านั้นพอ ผมไม่ได้คิดถึงฟุตบอลเลย เพราะผมต้องทำงานตลอดทั้งวัน และเมื่อชีวิตของคุณต้องตื่นตอน 6 โมงเช้าและเริ่มทำงานวันละ 8 ชั่วโมงในทุกๆ วัน การจะให้นั่งรถไฟไปซ้อมมันจะเป็นอะไรที่ซับซ้อนเกินว่าคนอื่นจะเข้าใจ" เอ็นริค กล่าว

ยิ่งโตยิ่งต้องทำงานหนัก

ในช่วงก่อนอายุ 18 ปี เขายังไม่ได้ทำงานแบบเต็ม 100% นักเพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ ทว่าหลังจากนั้นมันคือช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอ ซึ่งการเฝ้ารอของเขามันหมายถึงเขาจะทำงานได้เหมือนกับผู้ใหญ่จริงๆ สักที เขาสามารถทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกได้แล้ว ซึ่งค่าตอบแทนนั้นมากกว่าตอนเป็นพนักงานรับจ้างรายวันเหมือนแต่ก่อนพอสมควร

 2

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขามีครอบครัวตั้งแต่อายุ 20 ปี ลูกพี่ลูกน้องของภรรยาฝากงานให้เขาเป็นคนขับสิบล้อกับบริษัท Grupa Tainer หน้าที่ของเขาคือการไปที่ท่าเรือ บาร์เซโลน่า เพื่อรับของก่อนจะขับไปทั่วเมืองเพื่อส่งสินค้านั้นๆให้ถึงมือเจ้าของ บางครั้งเขาเล่าว่าตนเองต้องขับไปส่งของข้ามประเทศถึงฝรั่งเศสเลยก็มี 

"ผมขับรถไกลจนนับไมล์ไม่ถูก เบาะรถบรรทุกคือเตียงของผม ดูลำบากยังไงแต่สุดท้ายมันก็คืองานนั่นแหละ ผมทำแบบนั้นอยู่ 2 ปี จนลาออกเพราะร่างกายของผมเหนื่อยล้าสะสมจนหลับในมาแล้ว" สิงห์รถบรรทุกกล่าว

การออกจากงานตอนอายุ 22 ปี และมีครอบครัวแล้วคือฝันร้ายอย่างแท้จริง เอ็นริค เริ่มเดินหางานใหม่ จนกระทั่งเขาได้ยินว่าสโมสร "เอสปันญอล เบ" ทีมชุดสำรองของ เอสปันญอล ที่เล่นอยู่ในระดับดิวิชั่น 4 และไม่จำกัดอายุนักเตะที่ใช้ลงสนามกำลังเปิดคัดตัวผู้เล่นใหม่พอดี 

เอ็นริค นั้นเป็นนักเตะตำแหน่งกองหน้าสไตล์ที่แตกต่างจากกองหน้าสเปนทั่วไป เขาตัวใหญ่ (สูง 190 เซนติเมตร) และแข็งแกร่งมากๆ จากการทำงานที่เผลอๆ จะหนักกว่าการเข้าฟิตเนสของนักเตะเยาวชนเสียด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้เขาได้เข้าไปเล่นกับ เอสปันญอล เบ

ค่าจ้างตอนนั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร มันมีสัญญาแค่ปีเดียวตามแบบฉบับลีกสมัครเล่นเท่านั้น แต่สำหรับ เอ็นริค มันเป็นเหมือนการจุดประกายความฝันอีกครั้ง เขาได้ลงเล่น 17 นัดยิงไป 2 ลูก มันอาจจะไม่ถึงเป้าที่ เอสปันญอล วางไว้ แต่การเล่นของ เอ็นริค ในสไตล์กองหน้าตัวพักบอลทำให้ คอร์เนย่า ทีมในลีกเดียวกันตัดสินใจให้โอกาสพิสูจน์ตัวเองกับเขาต่อไป

 3

หนนี้ค่าจ้างของเขาจะได้น้อยลงกว่าที่อยู่กับ เอสปันญอล เบ อีก แต่หนึ่งในบอร์ดบริหารของ คอร์เรย่า ก็หาทางช่วย เอ็นริค ด้วยการให้เขาเข้าไปทำงานในบริษัทซ่อมบำรุงจักรยาน โดยหน้าที่ของ เอ็นริค คือ การเอาจักรยานไปไว้ตามจุดต่างๆ ให้ผู้คนได้มาเช่าไปปั่น นอกจากนี้เขายังต้องทำหน้าที่ตามหาจักรยานที่ถูกขโมยและซ่อมจักรยานคันที่พังอีกด้วย การได้เงิน 2 แห่งทำให้เขาแฮปปี้ และมันสะท้อนผ่านผลงานการยิง 55 ประตูจาก 100 เกมที่ลงสนามตลอดระยะเวลา 3 ปี 

เอ็นริค ย้ายออกจาก คอร์เนย่า หลังจากปี 2013 และวนเวียนในระดับดิวิชั่น 3 ดิวิชั่น 4 อยู่อย่างนั้น ผลงานของเขาไม่ดีเลยเพราะตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2015 เขายิงได้แค่ 2 ลูก เท่านั้น นั่นจึงทำให้รักเก่าที่บ้านเกิดอย่าง คอร์เนย่า ตามตัวเขากลับมาอีกครั้ง หนนี้ เอ็นริค กลับมาพร้อมๆ กับความแปลกใจของโค้ชในทีม ทุกคนสงสัยว่าเขาไปทำอะไรมาจึงเก่งขึ้นผิดหูผิดตา ทั้งๆ ที่สถิติก่อนหน้านี้ไม่เคยฟ้องว่าเขาจะทำได้ดีเลย 

 4

"เขามาอยู่ที่นี่และระเบิดฟอร์มที่ใครคาดไม่ถึง แต่ละปี เอ็นริค จะมีพัฒนาการให้เห็นตลอด ผมยังจำได้ดีตอนแรกที่เขาย้ายมาเขาเป็นผู้เล่นที่มีเทคนิคเข้าขั้นห่วยเลยล่ะ แต่ตอนนี้เหรอ คุณลองไปแย่งบอลเขาสิ ไล่เป็นวันก็แย่งไม่ได้หรอก ไอ้หมอนี่มันพริ้วขึ้นเยอะ" เป๊ป คาบาลเล่ กุนซือของ คอร์เนย่า กล่าวเจ้ายักษ์ใหญ่ประจำทีม

เหตุผลที่เขาเก่งขึ้นนั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือการเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เขามีชีวิตให้รับผิดชอบเพิ่มเติมอีก ดังนั้นหากเขาเล่นดีกับ คาร์เนย่า ไม่แน่ อาจจะได้ขยับไปเล่นเกมระดับอาชีพใน เซกุนด้า (ลีกรองของสเปน) ก็เป็นได้

"เหนื่อยมากจริงๆ ที่ต้องทำงานไปด้วยและเล่นฟุตบอลไปด้วย มันเป็นอะไรที่ยากแต่ก็ต้องทำ เพื่อเงินนั่นแหละ ผมต้องพยายามมากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ เพราะตอนนี้อะไรก็สำคัญไปหมด มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมเลย แต่เมื่อเลือกมันแล้วและยืนอยู่ตรงนี้แล้วผมก็ต้องทำ"  เอ็นริค กล่าวทิ้งท้าย

เค้กหน้า "เอ็นริค"

การกลับมาที่ คอร์เนย่า รอบสอง คือการจุดระเบิดอย่างแท้จริง เขายิง 46 ประตูจาก 98 เกม และหลังจากฤดูกาล 2017-18 จบลง เอ็กซ์เตรมาดูร่า ทีมใน เซกุนด้า เบ (ดิวิชั่น 3 สเปน) ก็คว้าตัวเขาไปร่วม ซึ่งครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆ เพราะ เอ็นริค มีค่าตัว 200,000 ยูโร และในวัย 30 ปี เขาคงคาดหวังอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว...

 5

อย่างไรก็ตามที่ เอ็กซ์เตรมาดูร่า นี้เองที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป การแจ้งเกิดของเขาเริ่มต้นตอนอายุ 30 ปี ไม่ใช่แค่ในฐานะนักฟุตบอล แต่ในฐานะของบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย

"ที่เอ็กซ์เตรมาดูร่า ทุกคนอ้าแขนต้อนรับผม พวกเขาตระหนักถึงการมีตัวของผมอยู่ และผมรู้สึกมีความสุขจริงๆ ตอนที่อยู่ที่นั่น" เอ็นริค เริ่มเท้าความ

"ตอนเด็กเราอาศัยในบ้านราคาถูกที่ บอน ปาสตอร์ มันเป็นชุมชนแออัด เท่าที่จำได้ผมใช้เวลาเกือบทั้งวันที่ข้างถนนเพื่อหาเงินสำหรับมื้อเย็น แซนด์วิช 1 อัน นั่งกินกับแม่แล้วก็น้องชาย"

เอ็นริค เล่นปีแรกกับ เอ็กซ์เตรมาดูร่า และยิงไปถึง 28 ลูก พาทีมเลื่อนชั้นสู่ เซกุนด้า เมื่อนั้นเองที่สัญญาอาชีพฉบับแรกของเขาเริ่มขึ้น เอ็กซ์เตรมาดูร่า มอบค่าเหนื่อยก้อนงามแม้จะไม่ระบุตัวเลขว่าเท่าไหร่แต่มันก็เป็นเงินที่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ ตอนนั้น เอ็นริค ยังจำได้ดี เขาอายุ 31 ปีกับอีก 11 เดือน และมันคือวันที่ฝันของเขาเป็นจริงเสียที เขาไม่ต้องทำงานเป็นช่างแอร์, ซ่อมจักรยาน และขับสิบล้ออีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นนักเตะอาชีพที่มีรายได้ที่มั่นคง และมีสวัสดิการรองรับจากสโมสร 

 6

เขากำลังวาดภาพในหัวว่าจะยิงประตูถล่มทลายในลีกรอง และหวังว่าหากมีโอกาสอาจจะได้เลื่อนชั้นขึ้นไปลีกสูงสุดให้เป็นเกียรติประวัติดูสักครั้ง เขาเริ่มต้นอย่างสวยงามด้วยการทำประตูได้ในเกมกับ กรานาด้า ก่อนตามด้วยการยิงแฮตทริก ในเกมกับ ราโย มาฆาดาฮอนด้า และเท่านั้นยังไม่พอเขายิงคนเดียว 4 ลูกในเกมกับ เรอุส เดปอร์ติอู เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทุกคน... ทว่าสิ่งที่เขาหวังกับ เอ็กซ์เตรมาดูร่า ไม่เกิดขึ้น เพราะมีเรื่องฉุกเฉินเข้ามา...

"ที่เอ็กซ์เตรมาดูร่า ผมเป็นที่รักของทุกคนแม้แต่เค้กวันเกิดของแฟนๆ วัยจิ๋ว พวกเขาก็จะแต่งหน้าเค้กเป็นหน้าของผม มันเป็นปีที่สวยงามที่สุดในชีวิตเลย" เอ็นริค เล่าถึงวันคืนที่แสนหวานก่อนเจอการเปลี่ยนแปลง

ย้ายทีมสายฟ้าแลบ 

หลังจากได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของลีก เซกุนด้า ในเดือนธันวาคม เอ็นริค มาถึงทางแยกครั้งสำคัญเมื่อ อูเอสก้า ทีมใน ลา ลีก้า (ลีกสูงสุด) ยื่นข้อเสนอซื้อตัวเขาด้วยราคามากกว่าตอนที่ เอ็กซ์เตรมาดูร่า ซื้อเขามาจาก คอร์เนย่า 10 เท่า... เอ็นริค ไม่ต้องรอเลื่อนชั้นกับ เอ็กซ์เตรมาดูร่า แล้ว เขาได้เล่นในลีกสูงสุดของประเทศในเดือนมกราคมปี 2019 และเป็นตอนที่เขาอายุ 32 ปี 

 7

"การได้มาเล่นในลา ลีกา คือการเปลี่ยนชีวิตคุณเลย ผมย้ายมาที่นี่ด้วยการถูกคาดหวังว่าจะทำให้ทีมรอดการตกชั้น และตัวผมเองหวังว่าจะช่วยให้ทีมบรรลุเป้าหมายนั้น" เอ็นริค กล่าวในวันเปิดตัว

เกมแรกที่เขาได้ลงเล่นในลีกสูงสุดคือการเจอกับ แอตฯ มาดริด ทีมระดับท็อป 3 ของประเทศ และเกมนั้นมันทำให้เขาต้องเป่าปากเพราะรู้ว่าโลกของลีกสูงสุดนั้นไม่ง่ายเลย... อูเอสก้า โดนยิงคาบ้านไป 0-3 

"ผมบอกตัวเองว่า "เอาวะมาดูกันว่าเกมนี้ผมจะโง่ได้ขนาดไหน" หลังจากนั้นผมต้องเจอกับตัวประกบอย่าง ฆิเมเนซ และ โกดิน (กองหลังทีมชาติอุรุกวัย ชุดใหญ่)" เขาเล่าไปก็ขำไปก่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่เกม เอ็นริค ก็ทำในสิ่งที่ตัวเองหวังได้ด้วยการยิงประตูใส่ เรอัล บายาโดลิด จากนั้นก็กลายเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม ได้ลงเล่นทุกนัดในครึ่งฤดูกาลหลัง พร้อมด้วยฟอร์มการเล่นที่ยิงไป 5 ประตูจาก 19 นัด นั่นไม่เลวเลยสำหรับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพเมื่อ 2 ปีก่อน

 8

"ประตูกับ บายาโดลิด เปลี่ยนผมไปเลยนะ มันทำให้ผมเลิกกังวล ผมอยากจะตะโกนว่า เอาเลย เชียร์ผมเยอะๆ สิ ผมทำประตูได้แล้วนะโว้ย" เอ็นริค กล่าว 

ที่สุดแล้ว อูเอสก้า ไม่สามารถรักษาอันดับให้อยู่รอดปลอดภัยได้ พวกเขาตกชั้นทันทีในปีแรกที่เล่นลีกสูงสุด ตัวของ เอ็นริค ก็ทำใจไว้ระดับหนึ่งแล้ว และก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรมากจนเกินไปนัก ทุกวันนี้เขามาไกลเกินกว่าที่คาด และการกลับไปเล่นลีกสองก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่จนถึงขั้นรับไม่ได้เสียทีเดียว 

เขามองโลกในแง่บวกได้แป๊ปเดียว เกตาเฟ่ ทีมอันดับ 5 ของลีกสูงสุดที่ได้สิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลยุโรป ยูโรปา ลีก ในฤดูกาล 2019-20 ก็ยื่นข้อเสนอซื้อตัวเขา หนนี้ราคาของเขาเพิ่มมาอีก 2 เท่ากว่าๆ จาก 2 ล้านยูโร กลายเป็น 5.2 ล้านยูโร แล้ว

 9

นี่คือชัยชนะเกินกว่าที่เขาหวังไว้ เขามองดูตัวเองแล้วก็ยังไม่เชื่อว่าจะมาถึงขนาดนี้ได้เหมือนกัน เอ็นริค มองว่าการที่เขาไร้ความกดดันเพราะผ่านสิ่งที่แย่ๆมาก่อน คือส่วนสำคัญที่ทำให้เขาผลงานดีขึ้นในทุกๆ ปี ไม่แน่ในอีกปีหรือสองปีข้างหน้าเขาอาจจะกลายเป็นผู้เล่นของทีมใหญ่สักทีมก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะชีวิตของเขามีสิ่งเหลือเชื่อเป็นประจำอยู่แล้ว

"เรื่องราวของผมมันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่มันก็มีประโยชน์สำหรับนักฟุตบอลทั่วโลก ผมดีใจนะที่เส้นทางของผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาทุกคนสู้ต่อไปได้ ส่วนคำแนะนำของผมที่อยากจะฝากไว้คือ สนุกกับการล่าฝันของคุณเถอะนักล่าทั้งหลาย แม้โอกาสล้มเหลวจะสูง แต่ก็อย่าลืมว่าโอกาสสำเร็จมันก็มีเหมือนกัน"

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "กาเยโก" สิงห์สิบล้อค่าตัว 200 ล้านบาทที่เริ่มเป็นนักฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 32 ปี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook