"เอ็ดวิน วาเลโร่" : นักชกปีศาจที่รัฐบาลเวเนซูเอล่าเลี้ยงไว้จนของเข้าตัว

"เอ็ดวิน วาเลโร่" : นักชกปีศาจที่รัฐบาลเวเนซูเอล่าเลี้ยงไว้จนของเข้าตัว

"เอ็ดวิน วาเลโร่" : นักชกปีศาจที่รัฐบาลเวเนซูเอล่าเลี้ยงไว้จนของเข้าตัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในยามที่ใครคนหนึ่งที่เริ่มนับ 0 หรือติดลบสามารถเดินทางพลิกสถานการณ์ชีวิตจนกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน พวกเขามักจะคิดว่า ณ วันนี้ชีวิตได้เดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่าสมบูรณ์ 100% แล้ว ... และใครที่คิดอย่างนั้นมักจะจบไม่สวยทุกรายไป

นี่คือเรื่องราวของ เอ็ดวิน วาเลโร่ นักชกจากสลัมที่กลายเป็นฮีโร่ของชาวเวเนซูเอล่า มีชีวิตที่น่าอิจฉา และกลายเป็นคนโปรดของประธานาธิบดี ฮูโก้ ชาเวซ ในวันที่เขามีทุกอย่างเขากลับใช้ชีวิตแบบเปลี่ยนไปเป็นคนละคนโดยที่เขาไม่รู้ตัว

 

การถูกนับหน้าถือตา และการได้รับอิทธิพลขนาดที่ว่าทำอะไรก็ได้ในประเทศนี้ กลายเป็นการปลุกปีศาจในตัวเขาขึ้นมา และปีศาจร้ายตัวนี้สร้างแรงกระเพื่อมไปถึงระบบความยุติธรรมของประเทศเลยทีเดียว

ประวัติศาสตร์แห่ง เวเนซูเอล่า

ก่อนจะยากจนและพบกับปัญหาเศรษฐกิจเหมือนทุกวันนี้ เวเนซูเอล่า เคยเป็นประเทศที่มั่งคั่งมาก่อนจากการค้าขายน้ำมันดิบ แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัว วาเลโร่ ก็ยังมีชีวิตที่ไม่ต่างไปจากชาวเวเนซูเอล่ายุคปัจจุบัน นั่นคือต้องทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาซื้ออาหารมาวางอยู่บนโต๊ะสำหรับมื้อค่ำ

 1

เอ็ดวิน เกิดที่ โบเลร่า อัลโต้ ที่อยู่ของครอบครัวเขาจะเรียกว่าบ้านคงไม่ถูกนักเพราะมันประกอบด้วยห้องสองห้องที่ถูกปรับไปเป็นห้องนอนทั้งหมดเพราะครอบครัวนี้มีลูก 4 คน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดตอนที่ เอ็ดวิน อายุ 7 ขวบ พ่อและแม่ของเขาต้องแยกทางกันอีก ซึ่งเขามักจะอธิบายถึงตัวเองในวัยเด็กเสมอว่า "ผมไม่ได้เติบโตมาแบบคนธรรมดา"

เอ็ดวิน ต้องลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพื่อมาช่วยแม่ทำงานเป็นคนล้างจานและเก็บผลไม้ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ 1 คนก็เลี้ยงลูกทั้ง 4 คนไม่ไหวอยู่ดี เอ็ดวิน ต้องมาหางานประจำทำและกลายเป็นพนักงานซ่อมจักรยาน ซึ่งจุดนั้นเองที่ทำให้เจ้าของร้านเห็นแววนักสู้ในตัวเขา ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่เคยออกหมัดใส่ใครเลย...

ว่ากันว่าดวงตาของ เอ็ดวิน วาเลโร่ แตกต่างจากเด็กอายุ 10 กว่าขวบอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใครเห็นก็ต้องหวาดกลัว และยังเป็นคนที่ซ่อนความก้าวร้าวไว้ในตัว ซึ่งตัวของเจ้าของร้านนั้นเป็นอดีตนักมวยมาก่อน เขาเห็นแววและบอกให้ เอ็ดวิน ไปเข้าโรงยิมของ ออสการ์ ออร์เตก้า นักชกชาวเวเนซูเอล่า เพราะอยากให้เขาได้เอาความเย็นชาและก้าวร้าวในตัวมาใช้ในทางบวกมากกว่าจะปล่อยไว้ให้เป็นนักเลงและจบชีวิตในคุก

แค่ได้ลองชกทุกอย่างก็เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว เอ็ดวิน ปราบนักมวยในระดับสมัครเล่นจนเกลี้ยงตับ สิ่งที่เป็นของขึ้นชื่อของเขาคือ "เซาธ์พอว์" หรือมวยซ้ายที่หนักสุดๆ เขาคือดาราแห่งวงการมวยสมัครเล่นของ เวเนซูเอล่า จนเกือบจะได้ไปแข่งขันในโอลิมปิกปี 2000 มาแล้ว เพียงแต่ไปแพ้กับนักชกรุ่นพี่อย่าง วัลเดเมียร์ เปเรย์ร่า แค่ 5 คะแนนเท่านั้น สถิติในระดับสมัครเล่นของเขาคือ 86-6 และน็อคเอาต์ไปทั้งหมด 57 ไฟต์ ก่อนจะได้เซ็นสัญญากับค่าย "โกลเดน บอย" ของ ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า 

 2

หลังจากเทิร์นโปรแล้ว เอ็ดวิน กลายเป็นดาวดวงใหม่และฉายแววทันที เขาชก 8 ไฟต์แรกในอเมริกาใต้ ก่อนจะขยับขยายมาชกในสหรัฐอเมริกา ผลปรากฎว่าหลังผ่าน 12 ไฟต์ เอ็ดวินเอาชนะได้ทั้งหมดที่สำคัญคือการชนะแบบน็อคเอาต์ยกแรกทุกไฟต์ด้วย สื่อรุ่นใหญ่อย่าง ดั๊ก ฟิสเชอร์ จากนิตยสารมวย "เดอะ ริง" ให้คำจำกัดความว่า "น็อคเอาต์ เจอร์นี่ย์แมน" (จอมน็อคเอาต์พเนจร) ขณะที่ เฟร็ดดี้ โร้ช เทรนเนอร์ชื่อดังของ แมนนี่ ปาเกียว ก็ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า "เขาอาจจะช้าไปหน่อย แต่เรื่องความหนักนี่ไม่ต้องห่วง อันนี้ผมยอมรับเลย"

สิ่งต่างๆ เป็นเช่นนั้นดังที่เหล่ากูรูคาดการณ์ เอ็ดวิน วาเลโร่ ขึ้นชกทุกครั้ง ชนะทุกครั้ง และน็อคคู่แข่งทุกครั้ง ที่สำคัญคือการน็อคแต่ละครั้งเกิดขึ้นในยกแรกเสมอ มันเป็นเช่นนี้ติดต่อกันถึง 18 ไฟต์ แล้วแบบนี้ความดังจะไปไหนเสีย

เด็กประธานาธิบดี 

การไล่น็อคคู่แข่งแบบไม่ยั้ง คว้าแชมป์โลก 2 สถาบันทั้งรุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวตของ WBA และ รุ่นไลท์เวตของ WBC ทำให้ชื่อของ เอ็ดวิน วาเลโร่ เริ่มเป็นที่พูดถึงว่าอาจจะเป็นว่าที่คู่ต่อสู้ของโคตรมวยแห่งยุคอย่าง แมนนี่ ปาเกียว และ ฟอลยด์ เมยเวทเธอร์ จูเนียร์ ซึ่ง ณ เวลานั้นปาเกียวเป็นแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวตของ WBO พ่วงเข็มขัดแชมป์โลกไลท์เวลเตอร์เวตของ IBO ขณะที่ฟลอยด์เป็นเเชมป์โลกรุ่นไลท์มิดเดิลเวตของ WBC และรุ่นเวลเตอร์เวตจาก WBC และ IBA ... แม้สองคนที่กล่าวมาจะอยู่ในพิกัดสูงกว่า แต่วงการมวยรู้กันว่า ทำน้ำหนักขึ้นไปฟัดได้

เอ็ดวิน ถูกเรียกว่า "เอล ดินามิเต้" ที่แปลว่าลูกระเบิด ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของชาว เวเนซูเอล่า และแน่นอนว่าเมื่อมีชื่อเสียงและคำพูดของเขามีพลังพอที่จะสามารถชักจูงประชาชนในประเทศได้ เอ็ดวิน ก็เริ่มได้รับบทบาทใหม่ในชีวิต ที่นอกจากจะมีชื่อเสียงและเงินทองแล้ว เขากำลังจะกลายเป็นนักมวยที่มีอิทธิพลจากการหนุนหลังของรัฐบาลเวเนซูเอล่า

 3

ฮูโก้ ชาเวซ ประธานาธิบดีของเวเนซูเอล่า 4 สมัยผู้นำแนวคิด "สังคมนิยมในศตวรรษที่ 21" โดยเน้นไปที่นโยบายประชารัฐอย่างรวบหน่วยงานรัฐวิสาหกิจให้เข้ามาเป็นของรัฐทั้งหมด เพิ่มงบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุขเพิ่มขึ้น สำคัญที่สุดคือรัฐบาลของ ชาเวซ นั้นขึ้นชื่อเรื่องการปลูกฝังความคิดให้ประชาชนรู้ว่า เวเนซูเอล่า เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และไม่จำเป็นต้องกลัวใคร ชาเวซ จึงมักจะใช้วาจาโจมตีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเสมอและนั่นทำให้เขาถูกจับตาจากสังคมโลก แต่ในประเทศนั้นเขาคือขวัญใจอันดับ 1 อย่างแท้จริง 

เนื่องด้วยนโยบายแต่ละอย่างของ ชาเวซ เป็นนโยบายประชานิยม ดังนั้นการได้นักกีฬาขวัญใจคนในประเทศอย่าง เอ็ดวิน วาเลโร่ จึงเป็นการติดอาวุธในแง่ความนิยมของรัฐบาลเวเนซูเอล่าไปโดยปริยาย 

สิทธิพิเศษที่ ชาเวซ มอบให้ เอ็ดวิน คือไม่ว่าจะไปไหนมาไหนเขาจะมีบอดี้การ์ดเดินขนาบข้างเหมือนกับนักการเมืองที่มีชื่อเสียง เงินสมทบทุนในชัยชนะแต่ละไฟต์ และอะไรต่อมิอะไรที่ยังไม่ได้เปิดเผยอีกมากมาย นั่นทำให้ เอ็ดวิน นับถือ ชาเวซ ในฐานะลูกพี่คนหนึ่ง

เขาเคยใส่กางเกงที่มีรอยปักรูปชาเวซและมีภาษาอังกฤษว่า "ตลอดไป" (Forever) และหลังจากกลายเป็นคนสนิทของประธานาธิบดี เอ็ดวิน ก็สักรูปธงชาติเวเนซูเอล่าที่กลางอกและมีใบหน้าของ ชาเวซ วางไว้ตรงกลางธงชาติด้วย 

 4

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมีทั้งแง่ดีและแง่ร้าย เอ็ดวิน ได้ถูกกล่าวถึงในฐานะผู้มีอิทธิพลของ เวเนซูเอล่า ครอบครัวของเขาได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลเสมอ แต่ในแง่ลบคือเมื่อเขาแสดงออกถึงความเป็นทีมเดียวกับ ชาเวซ ที่ต่อต้านและพาดพิงรัฐบาลอเมริกาขนาดนั้น จึงทำให้มีการคาดการณ์กันว่านั่นคือเหตุผลที่เขาแทบจะไม่ได้ชกบนเวทีใหญ่ในอเมริกาอีกเลย ซึ่งมันดูเป็นเรื่องที่สวนทางกับสถิติไร้พ่าย ชนะทุกไฟต์ และน็อคเอาต์ทุกไฟต์อย่างแท้จริง 

ความจริงแล้วเขาเข้าใกล้การชกกับ แมนนี่ ปาเกียว ในเวทีใหญ่อย่าง ลาส เวกัส หรือ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น แต่เขาถูกกีดกันด้วยเหตุผลของความปลอดภัยจากสุขภาพ เพราะในช่วงปี 2001 เขาเคยเข้าผ่าตัดสมองจากเหตุรถมอเตอร์ไซค์ล้ม ซึ่ง เอ็ดวิน ไม่เชื่อว่านั่นคือเหตุผลที่แท้จริง

"มันคงจะดีถ้าได้ชกเวทีใหญ่อย่าง เวกัส บ้าง แต่ช่างเหอะ มันไม่ใช่เวทีเดียวในโลกเสียเมื่อไหร่ เวทีในประเทศอื่นๆ ก็สามารถจัดแมตช์ชิงแชมป์โลกใหญ่ๆ ได้เหมือนกับอเมริกานั่นแหละ ผมอยากเจอคู่ชกระดับบิ๊กเนม ผมว่ามันถึงเวลาแล้ว ตอนนี้ผมรอไม่ไหวจริงๆ ผมคิดว่าจุดพีกของผมคือ ณ เวลานี้แหละ" เอ็ดวิน วาเลโร่ พูดถึงการมีโอกาสได้ชกกับ ปาเกียว ... แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกิดขึ้น

ปีศาจร้ายแฝงตัว 

ตลอดชีวิตการชกของเขาได้ชกในอเมริกาเพียง 4 ครั้ง แต่หากนับเฉพาะตอนเป็นแชมป์โลกนั้นคือครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นเวทีเล็กในเท็กซัส ดังนั้นจึงทำให้เขาพลาดการเจอกับพวกบิ๊กเนมอย่างที่เขาว่าไว้ เขาเคยท้าทายทั้ง ปาเกียว และ ฟลอยด์ อยู่บ่อยๆ แต่วงการมวยหลังยุค 2000 การจะขึ้นเวทีแต่ละไฟต์นั้นต้องพิจารณาจากหลากหลายเหตุผล และหากไม่ได้ต่อยในอเมริกาก็จะได้รับความสนใจน้อยมากหากไม่ใช่คู่ชกระดับมวยแม่เหล็ก 

 5

ไฟต์สุดท้ายของ เอ็ดวิน วาเลโร่ เกิดขึ้นในปี 2010 คือการเอาชนะ อันโตนิโอ เดอมาร์โก นักชกชาวเม็กซิกัน ซึ่งแม้ตัวของ เอ็ดวิน จะเอาชนะน็อคในยกที่ 10 ทว่าในช่วงยกที่ 2 เกิดอุบัติเหตุขึ้นตาขวาของเขาชนเข้ากับศอกขวาของ เดอมาร์โก จนทำให้เกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนหลังจากไฟต์นั้นต้องพักรักษาตัวหลายเดือน

สำหรับนักมวยแล้วการได้พักยาวๆ คือช่วงเวลาที่สำคัญมาก พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับการ กิน นอน ซ้อม ทำน้ำหนัก และ ขึ้นชก วนไปเวียนมาแบบนั้น ดังนั้นเมื่อวันหนึ่งชีวิตเกิดว่างขึ้นมาความสบายก็เกิดขึ้น และเมื่อสบายมากไปหายนะก็มาเยือน...

เขามักจะพาภรรยาของเขา เจนนิเฟอร์ แคโรลิน่า ไปเที่ยวไนต์คลับสถานที่หรูหราและพักในโรงแรม 5 ดาวเป็นประจำ ... วันหนึ่งในปี 2010 เขาและเธอเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง คาราโบโบ ทั้งคู่ออกไปเที่ยวและกลับเข้ามากลางดึก ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เสียงโทรศัพท์ของ เคนย่า ฟินอล ญาติคนสนิทของ แคโรลิน่า ก็ดังขึ้น 

"แจ้งตำรวจด้วย แคโรลิน่า โดนพวกนักเลงคาราโบโบฆ่าตาย ฉันกำลังถูกพวกมันตามล่า" นี่คือคำที่ เอ็ดวิน บอกกับ ฟินอล กลางดึก 

ฟินอล เองรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพียงแต่ว่าสิ่งที่เธอตกใจไม่ใช่คำว่าพวกนักเลงคาราโบโบมาฆ่าเธอตาย แต่มันคือน้ำเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของ เอ็ดวิน เหมือนกับว่าเขากำลังขาดสติอย่างแรง

 6

"ตอนที่เขาโทรมาเสียงของเขามันฟ้องว่าเขากำลังเมาถึงขีดสุด เขาบอกว่า เจนนิเฟอร์ เสียชีวิตในห้องพักของโรงแรม และตอนนี้เขากำลังถูกนักเลงกลุ่มนั้นตามล่าอยู่" ญาติคนสนิทเล่าเรื่องนี้ให้กับ เดอะ การ์เดี้ยน

ทำไม ฟินอล ถึงไม่ปักใจชื่อในตอนนั้นทั้งที่มีคนบอกว่าญาติเธอถูกฆ่าตาย และไม่เชื่อว่าเรื่องนักเลงมีจริง? เธอตอบว่าง่ายนิดเดียวเพราะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น...

ไม่ได้บ้าแค่ข้ามคืน

"เมาทั้งวัน" คือนิยามของ เอ็ดวิน ในเวลานั้น เขาติดเหล้าหนัก โคเคนก็หนักไม่แพ้กัน โดยสถานที่ประจำของเขาคือเซฟเฮ้าส์ของ ชาเวซ ที่มีของมึนเมาและผู้หญิงมาเปย์แบบไม่อั้น เขาติดอยู่ในวังวนของปีศาจร้ายที่แฝงมากับความสบายในช่วงพักผ่อน รู้ตัวอีกทีนิสัยและการปฎิบัติต่อครอบครัวของเขาก็เปลี่ยนไป 

 7

"เอ็ดวิน มันไม่ได้บ้าแค่ข้ามคืนนะ เขาเป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว เขาทำร้าย เจนนิเฟอร์ จนได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง เดือนมีนาคมที่ผ่านมาเขาทุบตีเธอจนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว" นี่คือสิ่งที่ญาติของ แคโรลิน่า บอกและไม่เชื่อว่าแก๊งอันธพาลที่ เอ็ดวิน ว่าไม่มีอยู่จริง 

ครอบครัวของแคโรลิน่ารู้ดีว่าเธอกำลังประสบกับความหวาดผวาตลอดในช่วงปลายอาชีพนักชกของ เอ็ดวิน เพราะเขาเริ่มไม่สนใจที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้แล้ว เขาหันมาร้ายใส่กับคนในครอบครัว หรือใครก็ตามที่ทำให้เขาไม่พอใจ ญาติๆ ของ แคโรลิน่า หรือแม้แต่แม่แท้ๆ ที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่สมัยล้างจานข้างทางก็ไม่รอด ทุกคนต่างให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่าเรื่องนี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเลย เพราะอย่างที่รู้กัน อิทธิพลของ เอ็ดวิน ที่มีประธานาธิบดี ชาเวซ เป็นแบ็คนั่นเอง

หลายครั้งที่เธอพยายามไปแจ้งความและบอกให้เจ้าหน้าที่จัดการกับ เอ็ดวิน ทางกฎหมาย แต่ด้วยแบ็คที่แข็งโป๊กระดับประเทศ ทำให้ เอ็ดวิน วาเลโร่ ไม่เคยโดนข้อหาใดๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ... มีครั้งหนึ่งที่ แคโรลิน่า ถูกซ้อมจนต้องหอบร่างตัวเองไปแจ้งตำรวจด้วยใบหน้าที่ยับเยิน แต่แค่ เอ็ดวิน บอกกับตำรวจว่า "เธอแค่หกล้มระหว่างไฟลต์บิน" เรื่องทุกอย่างก็เงียบหายไปกับกลีบเมฆ

เรื่องร้ายของ เอ็ดวิน วาเลโร่ ถูกกวาดเอาไว้ใต้พรมโดยไม่โดนสะสางมากมาย และนั่นทำให้เขาย่ามใจคิดว่าในประเทศนี้ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ 

ทว่าหนนี้มันรุนแรงกว่า สิ่งที่ญาติของ แคโรลิน่า เดาถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวนั่นคือเรื่องการตามล่าของกลุ่มนักเลงที่ไม่มีจริง แต่ที่เดาผิดคือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การทำร้ายร่างกายธรรมดา แต่เป็นการลงมือฆาตกรรมจริงๆ

สะเทือนทั้งระบบยุติธรรม 

เรื่องราวในค่ำคืนสังหารเกิดขึ้นเพราะ เอ็ดวิน นั้นเสพเกินขนาดจนเกิดความหวาดระแวง เขาลงมือฆ่า แคโรลิน่า ด้วยการเอามีดแทงเธอไป 3 แผล และเดินลงมามอบตัวเองกับพนักงานต้อนรับของโรงแรม  แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาจับเขาไปสอบปากคำเขากลับพูดจาวกวนว่า "ผมไม่ได้ฆ่าเธอ เธอถูกพวกนักเลงไล่ล่า และพวกมันนั่นแหละที่ที่เป็นคนลงมือ" 

 8

การให้การที่วกวนทำให้ตำรวจต้องรอเวลาให้เขามีสติอยู่หลายชั่วโมงและเมื่อรวบรวมสติได้ เขาเริ่มสารภาพอีกครั้ง เขาบอกว่าตนเองนั้นเสพยาหนักมากจนจำไม่ได้ว่าอะไรเกิดขึ้น รู้ตัวอีกทีก็เขาก็เห็นภรรยาของตัวเองเป็นศพ แต่นึกไม่ออกว่าเธอตายอย่างไร 

เรื่องนี้ทำให้ฝั่งญาติของ เจนนิเฟอร์ แคโรลิน่า โกรธแค้นมาก เพราะทุกคนในครอบครัวพยายามจะทำทุกอย่างแล้วให้ เอ็ดวิน อยู่ห่างจากเธอ แต่กระบวนการยุติธรรมก็ไม่เคยแม้แต่จะไตร่ตรองการกระทำของนักมวยที่ว่ากันว่าดีที่สุดในอเมริกาใต้หากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์

"เราไม่เคยพูดอะไรได้เลยเพราะเราถูกคุกคามด้วยความตาย เราต้องรับกรรมกับความกลัวจนไม่กล้าพูดความจริง แต่คุณจะทำอะไรได้เมื่อฝั่งตรงข้ามของคุณคือประธานาธิบดีชาเวซ และ เอ็ดวิน วาเลโร่ ขวัญใจคนทั้งประเทศ เราทำได้แค่ต้องรับกรรมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง" ผู้เป็นลุงของ แคโรลิน่า กล่าวทั้งน้ำตา

"ความจริงเรื่องนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำหากมีใครสักคนคิดขัดขวางเขาบ้าง เขาขู่ฆ่าคนอื่นๆ ไปทั่ว เขาควรจะถูกส่งไปโรงพยาบาลจิตเวชเพราะไม่อย่างนั้นอีกไม่นานเขาจะฆ่าลูกๆ ของเอง"

ด้าน เอลอยซ่า วิวาส ผู้เป็นแม่ของ เอ็ดวิน วาเลโร่ นั้นเป็นคนทีเห็นเรื่องนี้มากับตาตัวเองตลอด ตั้งแต่ที่ลูกชายของเธอเริ่มดังก็มีคนมากมายเข้ามารอบตัวไม่ว่าจะเป็นคนดีและคนเลว ซึ่งโชคไม่ดีนักที่ เอ็ดวิน เชื่อในฝั่งคนเลวมากกว่า เธอยังกล่าวพาดพิงถึงเจ้าหน้าที่รัฐของ เวเนซูเอล่า ด้วยว่ามีส่วนรับผิดชอบสิ่งทีเกิดขึ้นนี้

"พวกเขา (เจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่เคยเพิกเฉย) ต้องรับผิดชอบกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ฉันไม่ได้อยากจะโยนความผิดนี้ให้ใคร แต่ เอ็ดวิน ป่วยทางจิต เขาใช้ยาและดื่มหนักมาตั้งแต่อายุ 18 ปีแล้ว"

อำนาจในมือและการได้รับการปกป้องจากประธานาธิบดีส่งผลสะท้อนย้อนกลับที่ทำให้ เอ็ดวิน วาเลโร่ ต้องเจอกับปีศาจร้าย ที่หลอกล่อให้เขาทำผิดต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครกล้าห้ามปราม เรื่องการฆาตกรรมภรรยาตัวเองของ เอ็ดวิน ทำให้สังคมเวเนซูเอล่าตื่นตัวเป็นอย่างมาก และทำให้รัฐบาลต้องหน้าชากับการโอ๋ใครคนหนึ่งจนปิดหูปิดตามองไม่เห็นความผิดและทำให้คนบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องเสียชีวิตไป

องค์กรต่างๆ ในเวเนซูเอล่าถึง 50 แห่งและกลุ่มสิทธิสตรีเดินหน้าโจมตีระบบความยุติธรรมที่ล้มเหลวของประเทศ โดยมีสำนักข่าวหลายแห่งเป็นหัวหอกในการตีแผ่เรื่องนี้ให้ทุกคนในประเทศนี้รู้ว่าสิ่งใดที่ซ่อนอยู่ภายใต้อำนาจที่ไร้การต่อต้านนี้

"มีใครกล้ายืนยันไหมล่ะว่าการระเบิดอารมณ์ครั้งสุดท้ายของ เอ็ดวิน วาเลโร่ ไม่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมองของเขา ... กระบวนการยุติธรรมของประเทศนี้ต้องรับผิดชอบ ความอ่อนแอของพวกเขาทำให้ภรรยาของ เอ็ดวิน วาเลโร่ ถูกฆ่าตาย" เทโอโดโร เพ็ทคอฟฟ์ บรรณาธิการจากหนังสือพิมพ์ Tal Cual ทิ้งวลีเด็ดที่ทำให้ทุกคนต้องไปทบทวนใหม่ว่าคำว่าการปฎิบัติกับ "ฮีโร่ของชาติ" ที่แท้จริงควรจะเป็นแบบไหนกันแน่? ปล่อยให้เขารับความผิดในสิ่งที่ทำเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ หรือปล่อยให้เขาทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจต้องการ

สุดท้าย เอ็ดวิน วาเลโร่ ถูกจับเข้าห้องขังระหว่างพิจารณาคดีเพิ่มเติม เขาเข้าไปอยู่ในคุกได้เพียง 2 ชั่วโมง เขาก็พยายามฆ่าตัวตายด้วยการใช้เสื้อแทนเชือกในการแขวนคอ ครั้งแรกเจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และช่วยเหลือเอาไว้ได้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เอ็ดวิน วาเลโร่ ก็แขวนคอตายด้วยการใช้กางเกง... สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบลงด้วยความตายของคนสองคน

 9

"การตายของทั้งคู่ถือว่าเป็นความโศกเศร้าของประเทศ ขอให้ทั้งสองคนจากไปอย่างสงบ และเราจะสนับสนุนลูกๆ ของ เอ็ดวิน วาเลโร่ และ เจนนิเฟอร์ แคโรลิน่า" นี่คือประโยคเดียวที่ประธานาธิบดี ฮูโก้ ชาเวซ ว่าถึงชายที่มีรอยสักเป็นรูปหน้าเขาบนหน้าอก

ทุกคนที่ เวเนเซูเอล่า อาจจะชื่นชม เอ็ดวิน วาเลโร่ ในฐานะนักกีฬา แต่ทุกคนก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเขาเลย... หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ไปในสาธารณะแต่แรก เอ็ดวิน จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เขาอาจจะไม่ได้เป็นนักชกไร้พ่ายเหมือนทุกวันนี้ แต่อย่างน้อยๆ เขาจะเป็นคนที่ชาวเวเนซูเอล่าเรียกว่า "ฮีโร่ขวัญใจ" ได้อย่างเต็มปาก 

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "เอ็ดวิน วาเลโร่" : นักชกปีศาจที่รัฐบาลเวเนซูเอล่าเลี้ยงไว้จนของเข้าตัว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook